วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2554



  คริสต์มาส !!



    ภาษาอังกฤษเขียนว่า Christmas ดังนั้นอย่าลืม "ต์" อยู่ที่คำว่า คริสต์ (Christ) ไม่ใช่คำว่า "มาส" (Mas) Christmas มาจากภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse แปลว่า บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า โดยพบคำนี้ครั้งแรกในเอกสารโบราณในปี ค.ศ.1038 ภายหลังแปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas ประวัติความเป็นมาของวันคริต์มาส ซึ่งเป็นวันเกิดของพระเยซูนั้น ตามหลักฐานในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซ่าร์ ออกัสตัส แห่งโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็ขานรับนโยบาย อย่างไรก็ตามในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร ด้านนักประวัติศาสตร์วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยเทพ โดยตั้งแต่ปีค.ศ.274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปีค.ศ.64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปีค.ศ.330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย สำหรับองค์ประกอบในงานฉลองวันคริสต์มาสมีความเป็นมาเช่นกัน เริ่มที่คำอวยพรว่า Merry Christmas สุขสันต์วันคริสต์มาส คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุขและความสงบทางใจ จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรคนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุข และความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศกาลคริสต์มาส ต่อมาคือ "เพลง" ที่ใช้เฉลิมฉลองทั้งจังหวะช้าและจังหวะสนุกสนาน ส่วนใหญ่แต่งในยุคพระราชินีวิกตอเรียแห่งอังกฤษ (ค.ศ.1840-1900) ปัจจุบันแพร่หลายไปทั่วโลกโดยแปลเป็นภาษาต่างๆ มากมาย สำหรับ "ซานตาคลอส" เซนต์นิโคลัสแห่งเมืองมีรา สมัยศตวรรษที่ 4 ได้รับการขนานนามให้เป็นซานตาคลอสคนแรก เพราะวันหนึ่งท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่งแล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี ปิดท้ายที่ต้นคริสต์มาส หรือต้นสนที่นำมาประดับประดาด้วยดวงไฟหลากสีสัน ต้องย้อนไปศตวรรษที่ 8 เมื่อเซนต์บอนิเฟส มิชชันนารีชาวอังกฤษที่เดินทางไปประกาศเรื่องพระเจ้าในเยอรมนี ได้ช่วยเด็กที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นเครื่องสังเวยบูชาที่ใต้ต้นโอ๊ก โดยเมื่อโค่นต้นโอ๊กทิ้งก็ได้พบต้นสนเล็กๆ ต้นหนึ่งขึ้นอยู่โคนต้นโอ๊ก ท่านจึงขุดให้คนที่ร่วมพิธีกรรมเหล่านั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิต และตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ ต่อมามาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน ตัดต้นสนไปตั้งในบ้านในเดือนธันวาคม ปีค.ศ.1540 หลังจากนั้นในศตวรรษที่ 19 ต้นคริสต์มาสจึงเริ่มแพร่ไปสู่ประเทศอังกฤษและทั่วโลก

คริสต์มาส คือการฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้า เราเฉลิมฉลองกันในวันที่ 25 ธันวาคม คำว่า คริสต์มาส เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ Christmas ซึ่งมาจากภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า เพราะการร่วมพิธีมิสซา เป็นประเพณี สำคัญที่สุด ที่ชาวคริสต์ถือปฎิบัติกันในวันคริสต์มาส คำว่า Christes Maesse พบครั้งแรกในเอกสาร โบราณ เป็นภาษาอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1038 และคำนี้ก็แปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas คำทักทายที่เราได้ฟังบ่อย ๆ ในเทศกาลนี้คือ Merry Christmas คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุขและความสงบทางใจ เพราะฉะนั้น คำนี้จึงเป็นคำที่ใช้อวยพร คนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุข และความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศกาลคริสต์มาส

วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

Vampire


แวมไพร์ (Vampire) ผีชนิดหนึ่งตามความเชื่อของชาวยุโรป ในยุคกลาง เชื่อว่าเป็นผีดิบ ที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนมนุษย์ทั่วไป แต่มีฟันแหลมคม ดื่มเลือดของมนุษย์ด้วยกันเป็นอาหารเพื่อหล่อเลี้ยง โดยที่แวมไพร์จะมีชีวิตเป็นอมตะ ไม่มีวันตาย จะปรากฏตัวได้แต่เฉพาะเวลากลางคืน เพราะแพ้เเสงแดดในตอนกลางวัน

แวมไพร์ที่จริงเป็นชื่อของค้างคาวชนิดหนึ่งที่มีอยู่มากในทวีปอเมริกาใต้ มันกัดกินเลือดจากสัตว์อื่นที่ใหญ่กว่ามันจนตายไปคาที่ คำว่าแวมไพร์ มาจากภาษาฮังกาเรียนว่า Vampire อีกต่อหนึ่งและดินแดนฮังการี่นี่เองที่มีตำนานผีดูดเลือดโด่งดังกว่าที่อื่นในโลกเป็นไปได้ว่าความเชื่อเรื่องของแวมไพร์ที่สามารถแปลงร่างเป็นค้างคาวได้ มีที่มาจากค้างคาวขนาดเล็กชนิดนี้

แวมไพร์จะหลบซ่อนอยู่ในโลงของตนหรือในหลุมในเวลากลางวัน สามารถแปลงร่างได้หลายแบบ เช่น ค้างคาว, นกฮูก, หมาป่า, กบ, คางคก, แมลงเม่า, งูพิษ เป็นต้น สามารถกำบังกายหายตัวได้ ไม่มีเงาเมื่อกระทบกับแสงหรือสะท้อนในกระจก มีแรงมากเหมือนผู้ชาย 20 คน

สิ่งที่จะกำราบแวมไพร์ได้คือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา เช่น ไม้กางเขน, น้ำมนตร์ หรือแม้กระทั่งสมุนไพรกลิ่นแรงบางชนิด เช่น กระเทียม วิธีฆ่าแวมไพร์มีมากมาย เช่น ตอกลิ่มให้ทะลุหัวใจ เผา หรือ ตัดหัวด้วยจอบของสัปเหร่อ บุคคลที่ตกเป็นเหยื่อของมัน จะกลายเป็นแวมไพร์ไปด้วย และกลายเป็นสาวกของแวมไพร์ตนที่ดูดเลือดตัวเอง

ชาวยุโรปในยุคกลางนั้น หวาดกลัวแวมไพร์มาก ผู้ที่สงสัยว่าเป็นแวมไพร์ จะตกอยู่ในสถานะเดียวกับแม่มด หรือ มนุษย์หมาป่า คือ ถูกตัดสินลงโทษด้วยการเอาถึงชีวิต มีวิธีการป้องกันการรุกรานของแวมไพร์หลายวิธี

บางหมู่บ้านจะโปรยเมล็ดข้าวไว้บนหลังคาบ้าน เพราะเชื่อว่าแวมไพร์จะง่วนกับการนับเมล็ดข้าวเป็นการถ่วงเวลาจนรุ่งเช้า หรือ โรยเศษขนมปังไว้ตั้งแต่สุสานให้แวมไพร์เดินเก็บเศษขนมนั้นวนเวียนไปมา หรือแม้แต่การวางไม้กางเขนหรือดอกกุหลาบที่มีหนามแหลมเพื่อเป็นการพันธนาการไว้ในโลง

เรื่องราวของผีแวมไพร์ มีมากมาย ที่เป็นนิทานพื้นบ้านและวรรณกรรม โดยวรรณกรรมที่ว่าถึงแวมไพร์ที่เก่าแก่ที่สุด มีมาตั้งแต่สมัยโรมัน วรรณกรรมที่มีชื่อเสียงที่สุดของแวมไพร์คือ เรื่องเคาน์แดร็กคูล่าร์ ของ บราม สโตกเกอร์ ที่โด่งดังจนมีการนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ ละคร ละครเวที หรือแม้แต่กระทั่งภาพยนตร์การ์ตูนมากมายตราบจนปัจจุบัน เช่นภาพยนตร์เรื่อง Nosferatu ในปี ค.ศ. 1922 เป็นต้น

คนไทยเรารู้จักผีดูดเลือดเมื่อหนังสือเรื่อง "แดร็กคูล่า" เกิดขึ้น โดยจำลองมาจากชีวิตของแดร็กคูล่า ซึ่งถึงจะมีตัวตนอยู่จริงๆ แต่ก็ไม่ใช่ผีดูดเลือดที่แท้จริงหากเป็นคนดุร้ายกระหายเลือดเหมือนผีดิบเท่านั้น

ผีดูดเลือดที่แท้จริงเป็นประเภทที่ฝรั่งเรียกว่า "TheUndead" หมายถึงคนที่ตายไปแล้วแต่ยังเคลื่อนไหวและล่าเหยื่อได้เหมือนคนเป็นๆ และการเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยความดุร้าย น่าสะพรึงกลัว มักมีเขี้ยวแหลมยาว กัดคอเหยื่อได้แล้วไม่ยอมปล่อย จะดูดเลือดจนอิ่ม หรือจนกระทั่งเหยื่อตายคาเขี้ยวไปเลยทีเดียวถ้าจะขุดค้นไปถึงต้นตอผีดูดเลือดจริงแล้วจะพบว่าตำนานผีดูดเลือดนั้นมีมาตั้งแต่สมัยกรีกและโรมัน

ในตำนานกรีก มีสัตว์ร้ายชนิดหนึ่งชื่อ ลาเมียเอ (Lamia) เป็นสตรีรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวมักเที่ยวดูดเลือดเด็กเล็กๆ จนตาย และยังชีพด้วยเลือดสดๆ เช่นนั้นตลอดมา โรมันซึ่งรับอารยธรรมจากกรีก ก็มี "ลาเมีย" ของตนเหมือนกัน เมื่อโรมันแพร่อิทธิพลให้กับชาติอื่นๆ ต่างก็รับเอาตำนานผีดูดเลือด ลาเมียเอ นี้ไปโดยทั่วหน้า

ในที่สุดก็ลงความเห็นน่าจะเกิดจากสมัยดึกดำบรรพ์ที่คนเราเพิ่งเริ่มพัฒนาขึ้นมาจากสัตว์นั่นเอง คนสมัยนั้นนิยมกินเนื้อคนด้วยกัน อย่างที่ฝรั่งเรียกว่า "แคนนิบาลิสม์" Cannibalismถึงแม้ว่ากาลเวลาจะผ่านเลยไปแต่สัญชาติญาณดึกดำบรรพ์ที่ป่าเถื่อนนั้นยังคงติดแน่นอยู่ในสันดานของคนบางคนอย่างถอนไม่ออกสัญชาติญาณป่าเถื่อนนี้จึงแสดงออกมาในรูปของความโหดร้ายทารุณ ฆ่ากันแล้วดื่มเลือดกัน เป็นต้น

เคาน์แดร็กคูล่าตัวจริง หรือผู้เป็นต้นแบบของตำนานผีดูดเลือด มีถิ่นฐานบ้านเกิดในดินแดนทรานส์ซิลวาเนียใกล้เคียงกับฮังการี - โรมาเนีย เหตุใดจึงเกิดตำนานเกี่ยวกับผีดูดเลือดแวมไพร์ขึ้นในโลก

   ***ส่วนทางด้านตำนานที่เป็นผู้หญิงที่โหดที่สุดมนประวัติศาสตร์ก็คือ เคาท์เตส อลิซาเบธ บาโธรี่ เป็นหญิงสาวที่มีความเชื่อในเรื่องชีวิตที่เป็นอมตะ และต้องการคงร่างของตนเองให้คงดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ จึงมีความคิดที่ว่า หากได้อาบเลือดของหญิงสาวบริสุทธิ์แล้ว จะทำให้ตนเองดูอ่อนเยาว์ได้ตลอดไป เธอจึงสั่งให้คนรับใช้ไปเอาร่างของหญิงสาวบริสุทธิ์ มากรีดเอาเลือดใส่อ่างด้วยเครื่อง ไอรอน เมเดน (Iron maiden) แล้วอาต่างน้ำเหยื่อที่ต้องสังเวยชีวิตให้กับเธอไปไม่น้อยกว่า 600 คน

กว่าที่เธอจะถูกคนจับไปขังในคุกมืดจนตาย เธอได้รับสมญานามว่า The Blood Countess และ Countess Dracula เธอเกิดเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ค.ศ. 1560 ในเมือง Nyírbátor ประเทศฮังการี เป็นคนในตระกูล บาโธรี่ ซึ่งมีความเกี่ยวดองกับกษัตริย์ฮังการีในสมัยนั้น อลิซาเบธ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ. 1614 (อายุ 54 ปี) ในเมือง Cachtice ประเทศสโลวาเกีย

นอกจากตำนานเหล่านี้ในนวนิยายและภาพยนตร์นั้นแวมไพร์ไม่เคยเสื่อมความนิยมลงไปแม้แต่น้อย ดูได้จากบทประพันธ์หรือหนังที่มีเรื่องผีดูดเลือดมาให้เราได้สัมผัสกันแทบทุกปี

วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เทพีเสรีภาพ



มรดกโลก
เทพีเสรีภาพ (Statue of Liberty)    
อยู่ในนครนิวยอร์กของประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นอนุสาวรีย์ที่ยิ่งใหญ่ และมีคุณค่าทางจิตใจ ตั้งอยู่ ณ เกาะเบคโล ปากอ่าวแมนฮัตตัน นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เป็นของขวัญที่ชาวฝรั่งเศสมอบเอาไว้เป็นของขวัญ แก่ชาวอเมริกัน ในวันที่อเมริกาเฉลิมฉลองวันชาติครบ 100 ปี ณ วันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2419 โดยส่งมอบอย่างเป็นทางการ โดยมี ประธานาธิบดีโกรเวอร์ คลีฟแลนด์ ในวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2429 เทพีเสรีภาพเป็นอนุสาวรีย์ที่เป็นสัญลักษณ์ "เสรีภาพ" ของคนอเมริกันเป็นรูปสตรียืนสูงเด่นอยู่บนแท่นทรงสี่เหลี่ยมสูงที่ตั้งอยู่บนฐานกว้าง 3 ชั้นรองรับกลมกลืนอย่างดี ลดหลั่นกันลงไปอยู่เบื้องล่าง ตัวเทพีสูง 152 ฟุต แขนแต่ละข้างยาว 42 ฟุต นิ้วชี้ยาว 8 ฟุต เล็บนิ้วยาว 10-13 นิ้ว ยืนอยู่บนฐาน

สาเหตุที่ทำให้ชาวฝรั่งเศสมอบเทพีเสรีภาพให้แก่สหรัฐอเมริกา เพราะว่า พวกเขาชื่นชมชาวอเมริกันที่หาญกล้าหาญ ที่ลุกขึ้นสู้กับสหราชอาณาจักร และประกาศอิสรภาพ จากสหราชอาณาจักรสำเร็จ เป็นชาติเอกราชในที่สุด ชาวฝรั่งเศส จึงรณรงค์หาเงินบริจาคจากทั่วประเทศ

สี่เหลี่ยมสูง 150 ฟุต ส่วนที่เป็นลำตัวทำด้วยทองแดงสีเขียวเทอร์คอยส์ ห่มผ้าครุยกรอมเท้า ที่ศรีษะสวมมงกุฏเป็นรัศมีเจ็ดแฉก มือขวาถือโคมไฟชูสูงขึ้นสุดแขน มือซ้ายประคองหนังสือที่ปกเขียนว่า "4 กรกฏาคม 1776" อันเป็นวันประกาศอิสรภาพของอเมริกา ไม่ขึ้นต่ออังกฤษอีกต่อไปและถือเป็นวันชาติอเมริกันมาจนทุกวันนี้ เทพีเสรีภาพนี้ตั้งอยู่บนเกาะเล็ก ๆ ขนาดเนื้อทราว ๆ 30 ไร่ ทำทางเดินขนาดใหญ่เข้าสู่ทางด้านหลังของอนุสาวรีย์ แล้วมีทางเดินรอบเลาะริมน้ำให้ชมได้ทุกมุมนักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมได้ถึงมงกุฏ หรือ ขึ้นถึงแค่ฐานสี่เหลี่ยมต่ำกว่าเท้าขององค์อนุสาวรีย์



วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

แม่น้ำท่าจีน



 ลุ่มน้ำท่าจีนมีพื้นที่รวม 10,878 ตารางกิโลเมตร (6.8 ล้านไร่ครอบคลุมพื้นที่ จังหวัดชัยนาท จังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดนครปฐมและจังหวัดสมุทรสาคร     โดยมี   แม่น้ำท่าจีนเป็นแม่น้ำสายหลักมีความยาว  325  กิโลเมตร    มีขอบเขตเชื่อมต่อกับ    ลุ่มน้ำแม่กลองด้านทิศตะวันตกและเชื่อมต่อกับลุ่มน้ำเจ้าพระยาด้านทิศตะวันออก ตามลักษณะชลศาสตร์สามารถแบ่งพื้นลุ่มน้ำออกเป็น 3 พื้นที่ คือ 

  ลุ่มน้ำท่าจีนตอนบน เริ่มตั้งแต่ปากคลองมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์      จังหวัดชัยนาท  ลงไปจนถึงประตูน้ำโพธิ์พระยา อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี 
       ลุ่มน้ำท่าจีนตอนกลางเริ่มตั้งแต่ประตูน้ำโพธิ์พระยา อำเภอเมือง      จังหวัดสุพรรณบุรี  ลงมาจนถึงสะพานรวมเมฆ   อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม
       ลุ่มน้ำท่าจีนตอนล่าง เริ่มตั้งแต่สะพานรวมเมฆ อำเภอนครชัยศรี         จังหวัดนครปฐม ลงไปจนถึงปากแม่น้ำ อำเภอเมืองจังหวัสมุทรสาคร
ความสำคัญของแม่น้ำท่าจีน
    ลุ่มน้ำท่าจีนเป็นลุ่มน้ำหลักในที่ราบลุ่มภาคกลางที่มีความสำคัญทาง   เศรษฐกิจและสังคมรองจากลุ่มน้ำเจ้าพระยา   ในปี พ.ศ. 2550  ลุ่มน้ำท่าจีนมีประชากรรวม 2.48 ล้านคน จำนวนครัวเรือนรวม 841,945 ครัวเรือน มีชุมชน      ขนาดใหญ่ในระดับเทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบลตั้งอยู่บริเวณริมแม่น้ำท่าจีนรวม 65 ชุมชน
           ในปี พ.ศ. 2549 มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมของจังหวัดในพื้นที่ลุ่มน้ำท่าจีน เท่ากับ 491,056 ล้านบาทต่อปี มีมูลค่าผลิตภัณฑ์เฉลี่ยต่อหัวอยู่ระหว่าง 64,619 – 539,346 บาทต่อคนต่อปี โดยจังหวัดสมุทรสาครมีมูลค่าผลิตภัณฑ์เฉลี่ยต่อหัวสูงสุด รองลงมาได้แก่จังหวัดนครปฐม จังหวัดชัยนาทและจังหวัดสุพรรณบุรี ตามลำดับ
  ลักษณะการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำท่าจีนในปี 2549 ร้อยละ 73.9    (5.4 ล้านไร่) ซึ่งร้อยละ 70 ของการใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นพื้นที่เกษตรกรรมโดยทำนาข้าวเป็นส่วนใหญ่ในเขตจังหวัดชัยนาท สุพรรณบุรีและนครปฐมเป็นพื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ มีพื้นที่รวม 0.43 ล้านไร่ จังหวัดสุพรรณบุรีและนครปฐมเป็น  แหล่งเลี้ยงปลาน้ำจืดและกุ้งก้ามกราม นอกจากนี้จังหวัดนครปฐมยังเป็นแหล่งผลิตสุกรที่สำคัญที่สุดของภาคกลาง สำหรับจังหวัดสมุทรสาครเป็นแหล่งประมงน้ำกร่อยและกุ้งทะเลที่สำคัญ

วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2554

หัวหิน !!!


                                           




อำเภอหัวหิน ในอดีตเป็นพื้นที่เขตปกครองของส่วนหนึ่งในเมืองปราณบุรี (เมืองชั้นจัตวา) ขึ้นตรงแขวงเมืองเพชรบุรี จนกระทั่งมีการจัดการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล จึงได้อยู่ในพื้นที่่ของอำเภอปราณบุรี เมืองเพชรบุรี (จังหวัดเพชรบุรี) ต่อมา วันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2449 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีพระบรมราชองการเหนือเกล้าให้รวมเอาอำเภอเมืองปราณบุรี อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธุ์ จังหวัดเพชรบุรี และอำเภอกำเนิดนพคุณ จังหวัดชุมพร ซึ่งเป็นเมืองชั้นจัตวามาก่อนเข้ารวมเป็นจังหวัดปราณบุรี และภายหลังได้รับการจัดตั้งเป็นกิ่งอำเภอหัวหิน อำเภอปราณบุรี
อำเภอหัวหิน ได้รับประกาศยกฐานะจากกิ่งอำเภอหัวหิน อำเภอปราณบุรี ตั่งแต่วันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2492 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2492
ชุมชนหัวหินก่อตั้งขึ้นในราวปี พ.ศ. 2377 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 เมื่อชาวบ้านกลุ่มหนึ่งจากทางตอนเหนือละทิ้งถิ่นฐาน และเดินทางมาจนถึงพื้นที่ที่เป็นบริเวณใกล้กับเขาตะเกียบในปัจจุบัน แล้วได้ตั้งถิ่นฐานที่บริเวณนี้ เพราะเห็นว่าเป็นหาดทรายที่สวยงามและแปลกกว่าที่อื่น คือมีกลุ่ม หินกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป อีกทั้งที่ดินก็มีความอุดมสมบูรณ์ เหมาะสำหรับทำการเกษตรและการประมง แล้วตั้งชื่อหมู่บ้านว่า “บ้านสมอเรียง”
ต่อมาพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระนเรศวรฤทธิ์ (พระองค์เจ้าชายกฤษดาภินิหาร ต้นราชสกุลกฤดากร) ได้มาสร้างตำหนักหลังใหญ่ชื่อ “แสนสำราญสุขเวศน์” ที่ ด้านใต้ของหมู่หินริมทะเล (ปัจจุบันคือบริเวณที่อยู่ติดกับโรงแรมโซฟิเทลฯ) และทรงขนานนามหาดทรายบริเวณนี้เสียใหม่ว่า “หัวหิน” จนเมื่อเวลาล่วงไป ทั้งตำบล ในบริเวณนี้ก็ถูกเรียกในชื่อเดียวกันว่า “หัวหิน” และเจริญเติบโตขยายขึ้นเป็นอำเภอหัวหินจนถึงปัจจุบัน

วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2554

พี่น้องตระกูลกริมม์






ประวัติ

เจค็อบ ลุดวิจ กริมม์ และ วิลเฮล์ม คาร์ล กริมม์ เกิดเมื่อวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 1785 และ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1786 ตามลำดับ ที่เมืองฮาเนา ใกล้กับเมืองแฟรงค์เฟิร์ต แคว้นเฮสเซน พวกเขามีพี่น้องทั้งหมด 9 คน แต่มีชีวิตรอดเติบโตมาเพียง 6 คน ชีวิตในวัยเด็กของพวกเขาอยู่ในแถบชนบทอันงดงามร่มรื่น ครอบครัวกริมม์พำนักอยู่ใกล้คฤหาสน์ของเจ้าผู้ครองแคว้นระหว่างช่วงปี 1790-1796 เนื่องจากบิดาของพวกเขาเป็นลูกจ้างของเจ้าชายแห่งเฮสเซน
เมื่อเจค็อบซึ่งเป็นบุตรคนโตอายุได้ 11 ปี บิดาของพวกเขาคือ ฟิลิป วิลเฮล์ม ก็ถึงแก่กรรม ครอบครัวจึงต้องย้ายไปอาศัยในบ้านเล็กๆ คับแคบในตัวเมือง สองปีต่อมา ปู่ของพวกเขาก็เสียชีวิต จึงคงเหลือแต่แม่เพียงคนเดียวที่ต้องดิ้นรนหาเลี้ยงชีพและเลี้ยงดูเด็กๆ ยังเป็นข้อโต้แย้งอยู่ว่านี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่พี่น้องกริมม์มักยกผู้เป็นบิดาไว้ไม่ให้มีความผิด ขณะที่ทรราชฝ่ายหญิงมักมีบทบาทสำคัญในนิทาน เช่นแม่เลี้ยงใจร้ายและพี่สาวทั้งสองในเรื่อง ซินเดอเรลล่า แต่ผู้วิจารณ์คงจะลืมไปว่าพี่น้องกริมม์เป็นแต่เพียงผู้รวบรวมเทพนิยายเท่านั้น ไม่ใช่คนแต่งขึ้นมา
พี่น้องกริมม์ได้รับการศึกษาจาก Friedrichs-Gymnasium ใน Kassel และต่อมาได้เรียนวิชากฎหมายที่มหาวิทยาลัยมาร์เบิร์ก และที่นี่ ด้วยแรงบันดาลใจจาก ฟรีดดริค ฟอน ซาวินี (Friedrich von Savigny) ทำให้พี่น้องทั้งสองเริ่มมีความสนใจเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีต ทั้งคู่เพิ่งมีอายุยี่สิบต้นๆ ในขณะที่เริ่มศึกษาด้านภาษาศาสตร์ และวางกฎของกริมม์ รวมถึงรวบรวมเรื่องราวเทพนิยายและเรื่องเล่านิทานพื้นบ้านจากที่ต่างๆ ซึ่งต่อมากลายเป็นผลงานที่มีชื่อเสียงอย่างมาก อันที่จริงผลงานรวบรวมนิทานปรัมปราเหล่านี้เป็นผลพลอยได้จากการศึกษาด้านภาษาศาสตร์ซึ่งเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของคนทั้งสอง
ปี ค.ศ. 1808 มีบันทึกว่าเจค็อบได้เป็นบรรณารักษ์ในราชสำนักของกษัตริย์แห่ง Westphalia ปี ค.ศ. 1812 พี่น้องกริมม์ได้ตีพิมพ์ผลงานรวบรวมเทพนิยายของพวกเขาเป็นครั้งแรก ชื่อว่า Tales of Children and the Home ซึ่งพวกเขารวบรวมเรื่องราวมาจากชาวบ้านชนบท เรื่องบางส่วนก็ขัดแย้งกับที่มาของเรื่องอื่นๆ ที่ตีพิมพ์ในวัฒนธรรมอื่นและภาษาอื่น (เช่นงานของ ชาร์ลส์ แปร์โรลต์) พี่น้องกริมม์แบ่งงานกันทำ เจค็อบเน้นที่งานวิจัย ส่วนวิลเฮล์มทำหน้าที่ปะติดปะต่อเรื่องราว นำมาประพันธ์ใหม่ในรูปแบบวรรณกรรมและเขียนบรรยายในลักษณะของนิทานเด็ก พี่น้องทั้งสองยังให้ความสนใจกับนิทานพื้นบ้านและประวัติศาสตร์กำเนิดของวรรณกรรม ปี ค.ศ. 1816 เจค็อบได้เป็นบรรณารักษ์ใน Kassel ส่วนวิลเฮล์มก็ได้งานที่นั่นเช่นกัน ระหว่าง ค.ศ. 1816 - 1818 ทั้งสองได้ตีพิมพ์ตำนานเยอรมันสองชุด และประวัติวรรณกรรมยุคต้นอีกหนึ่งชุด
ขณะที่พี่น้องกริมม์เริ่มสนใจในภาษาเก่าแก่และความสัมพันธ์ของภาษาเหล่านั้นกับภาษาเยอรมัน เจค็อบเริ่มศึกษาประวัติศาสตร์และโครงสร้างของภาษาเยอรมันอย่างละเอียด ในเวลาต่อมา พวกเขาได้สรุปความสัมพันธ์ระหว่างคำต่างๆ และเรียกชื่อว่าเป็น กฎของกริมม์ โดยได้รวบรวมข้อมูลดิบไว้เป็นจำนวนมาก ปี ค.ศ. 1830 ทั้งสองได้ซื้อบ้านหลังหนึ่งใน Göttingen หลังจากมีหน้าที่การงานมั่นคงในเมืองนั้น เจค็อบได้เป็นศาสตราจารย์ และเป็นหัวหน้าบรรณารักษ์ในปี ค.ศ. 1830 ส่วนวิลเฮล์มได้เป็นศาสตราจารย์ในปี ค.ศ. 1835
ปี ค.ศ. 1837 พี่น้องกริมม์ร่วมกับศาสตราจารย์ที่เป็นเพื่อนร่วมงานในมหาวิทยาลัย Göttingen อีก 5 คน ร่วมกันคัดค้านการเพิกถอนรัฐธรรมนูญแห่งรัฐฮันโนเวอร์ของกษัตริย์ เออร์เนสต์ ออกัสตัส ที่หนึ่ง กลุ่มผู้คัดค้านนี้เป็นที่รู้จักต่อมาในชื่อ Die Göttinger Sieben(The Göttingen Seven) ทั้งหมดถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัย และมี 3 คนที่ถูกเนรเทศ รวมถึงเจค็อบด้วย เจค็อบหนีไปอาศัยอยู่ใน Kassel ซึ่งอยู่นอกอาณาเขตของกษัตริย์เออร์เนสต์ วิลเฮล์มติดตามไปสมทบภายหลัง โดยพำนักอยู่กับลุดวิจ น้องชายของพวกเขา ในปีต่อมาทั้งสองได้รับเชิญจากษัตริย์แห่งปรัสเซีย เชิญให้ไปพำนักอยู่ในเบอร์ลิน และทั้งสองก็ได้ย้ายไปยังเบอร์ลินนับแต่นั้น
ช่วงปลายชีวิตของพวกเขาอุทิศให้กับการจัดทำพจนานุกรมภาษาเยอรมัน ตีพิมพ์ชุดแรกออกมาเมื่อปี ค.ศ. 1854 และเป็นต้นแบบในการพัฒนาปรับปรุงเวอร์ชันต่างๆ ต่อมา เจค็อบครองตัวเป็นโสดตลอดชีวิตของเขา ส่วนวิลเฮล์มได้แต่งงานกับ เฮนเรียตเต โดโรเธีย ไวลด์ (Henriette Dorothea Wild หรือบางแห่งเรียกว่า Dortchen) เมื่อปี 1825 เธอเป็นบุตรีของเภสัชกรซึ่งเป็นเพื่อนกับครอบครัวกริมม์มาตั้งแต่เด็ก ที่ซึ่งพี่น้องกริมม์ได้ฟังนิทานเรื่อง หนูน้อยหมวกแดง เป็นครั้งแรก วิลเฮล์มมีบุตร 4 คนโดยเสียชีวิตตั้งแต่เด็กไป 1 คน แต่พี่น้องทั้งสองก็ยังสนิทกันมากแม้หลังจากที่วิลเฮล์มแต่งงานแล้วก็ตาม
วิลเฮล์มเสียชีวิตในกรุงเบอร์ลินเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1859 เจค็อบยังคงทำงานรวบรวมพจนานุกรมและโครงการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไปจนกระทั่งเสียชีวิตในเบอร์ลินเช่นกัน เมื่อวันที่ 20 กันยายน ค.ศ. 1863 ร่างของทั้งสองฝังไว้ที่สุสาน St. Matthäus Kirchhof ใน Schöneberg ในเบอร์ลิน พี่น้องตระกูลกริมม์ได้เผยแพร่แนวคิดเกี่ยวกับประชาธิปไตยให้แพร่หลายกว้างขวางในเยอรมนี และได้รับความเคารพยกย่องเป็นหนึ่งในผู้มีอิทธิพลในการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยในเยอรมนี ซึ่งต่อมาราชอาณาจักรปรัสเซียได้ก่อการปฏิวัติในช่วงปี 1848-1849 และเริ่มต้นระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญขึ้น



วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2554

โยเกิร์ต

      



นมเปรี้ยว หรือ โยเกิร์ต (อังกฤษ: yoghurt (ภาษาอังกฤษใช้คำนี้เรียกรวม ๆ ทั้งนมเปรี้ยวและโยเกิร์ต)) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น นมสด นมพร่องมันเนย หรือ นมถั่วเหลือง โดยการใช้แบคทีเรีย แลคโตบาซิลัส เอซิโดซิส และ สเตรปโตคอคคัส เทอร์โมฟิลลัส เป็นหลักใส่ลงไปหมักผลิตภัณฑ์นมต่างๆ แบคทีเรียเหล่านี้ช่วยย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมให้เป็นกรดแลคติค ทำให้มีภาวะกรดและมีรสเปรี้ยวโดยมีความเป็นกรด-เบสอยู่ระหว่าง 3.8-4.6 นมเปรี้ยว มี 2 ชนิด คือ ชนิดแรกเป็นนมเปรี้ยวที่มีลักษณะเป็นน้ำคล้ายเครื่องดื่ม อีกชนิดหนึ่งเป็นนมเปรี้ยวที่มีลักษณะเหลวข้นที่เรียกว่า โยเกิร์ต



ประวัติ

นักประวัติศาสตร์มีความเห็นว่า โยเกิร์ตเป็นอาหารที่รวมอยู่ในโภชนาการของชนเผ่าทราเซียน อันเป็นบรรพบุรุษเก่าแก่ที่สุดของชาวบัลแกเรีย ชาวทราเซียนเก่งในการเลี้ยงแกะ คำว่า yog ในภาษาทราเซียน แปลว่า หนาหรือข้น ส่วน urt แปลว่า น้ำนม คำ yoghurt น่าจะได้มาจากการสมาสของคำทั้งสองข้างต้น ในยุคโบราณราวศตวรรษที่ 4 ถึง 6 ก่อนคริสตกาล ชาวทราเซียนมีวิธีการเก็บรักษาน้ำนมไว้ในถุง ที่ทำจากหนังแกะ เวลาไปไหนต่อไหนก็เอาถุงนี้คาดเอวไว้ ความอบอุ่นจากร่างกายร่วมกับจุลชีพที่มีอยู่ในหนังแกะ ช่วยให้เกิดปฏิกิริยาการหมักขึ้น น้ำนมในถุงก็กลายสภาพเป็นโยเกิร์ตไป


นักวิทยาศาสตร์บางคนสันนิษฐานว่า สิ่งที่มีมาก่อนโยเกิร์ตน่าจะเป็นน้ำนมหมักที่ใช้ดื่ม เรียกว่า คูมิส (Kumis) น้ำนมชนิดนี้ทำมาจากน้ำนมม้า โดยชนเผ่าที่มาอยู่ก่อนหน้าชาวบัลแกเรีย เช่น ชนเผ่าที่เร่ร่อนที่อพยพย้ายถิ่นฐานจากทวีปเอเชียมายังคาบสมุทรมัลข่าน ในปี ค.ศ.681

ในยุโรปตะวันตก โยเกิร์ตปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกในศตวรรษที่ 16 ในราชสำนักของกษัตริย์ฟรานซิสที่ 1 แห่งฝรั่งเศส ครั้งนั้นกษัตริย์พระองค์นี้ประชวร มีพระอาการปั่นป่วนในท้อง แพทย์ชาวตุรกีผู้หนึ่งจึงทำการรักษาโดยให้เสวยโยเกิร์ตที่นำมาจากบัลแกเรีย เรื่องนี้ศาสตราจารย์คริสโต โชมาคอฟ รายงานไว้ในหนังสือ Bulgarian Yoghurt-Health and Longerity

ประโยชน์

นมเปรี้ยวเป็นอาหารที่ให้คุณค่าทางโภชนาการดีกว่านมสด เช่น โปรตีนเคซีนในนมเปรี้ยวจะถูกนำไปใช้ประโยชน์ต่อร่างกายได้ดีกว่า เพราะย่อยสลายได้ง่ายกว่า ดร.โยชิโร ชิมาซากิ ศึกษาว่าการกินนมเปรี้ยวที่มีกรดน้ำนมจะช่วยรักษาอนามัยปาก ป้องกันไม่ให้เป็นรำมะนาด










วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Baby sheep.



The village has a young shepherd boy who one day ... every day ... all these sheep. To shepherd his flock. To eat grass on a hill near the forest edge to anchor it ... and when he arrived at the sheep, it will be a guard to protect them from becoming a victim of the wolves. The whole flock of sheep to eat grass until it is finished. Where it is. Daily duties that I would be extremely tedious to him every day, I have to do and avoid monotonous. Not so. He was so tired and sick ... I would like to end up one day. The bike is fun to play to relieve stress and lose a little bit more fun ... it would be nice. The idea was that then ...
I pretend to shout With a loud voice. Panic alarm and ran into the village. I was shouting and hollow. Abyss and go all the way to "help me! Help me .... Wolves eat sheep and help with ... Sir ... "they were on. Heard that there was a wolf. So I took to mean that, along with various weapons. I will have to ... but when. I gathered that they flock to them. I met and saw. Where even a single wolf. Then I see. That the sheep were grazing together happily. The sheep-like in her mind. The most desirable is a fool all the people, "Hu the other around my kids I know who the other was" The shepherd children happy and smiling face. They told the villagers were standing upon it. So far I know that my kids are totally tricked me into doing that, "you ugh it just a little too late  own. I ran to the wolf thing ... then doing it ugh. "

They were when they heard it. And the sheep-like pretending to laugh. Hard to hold with those symptoms. I knew they were being deceived, then. They are a very angry. I have to spend time with their work. He is currently useful as a value to edit it. When I was a shepherd boy who is very successful. A lot of fun and then pretend he was the original. I puzzled villagers gathered to help them 2-3 times.

Until one day. The wolves eat the sheep out into the real catch of this sheep-run bulge was pale. Esiyonghlg ever. And I asked the people to "help me! Help me .... Wolves eat sheep and ... Help with Madam, "he shouted requests for assistance, the Husky Hall of parched up, but it was all I had ever been this many times. We are not interested and walk away every one of them to get me ....

Who would have believed it ... and like people who lie to people about this ... ... and in the end. Flocks and herds of sheep who get off so I was forced to gulp down dogs eat away completely. There is even built. Shepherd children at all. I need to sit upon the ruins in the wail pitifully. Of his own flock. And with tears in his speech "should not be deleted .. because I do not own. I Opgpd lie lie Because it is fun. Will know it's not good ... it's too late They then attract other, "he was unhappy with her ​​bulging Kigmok Os placenta. Known. .. This is played out. He did not need to be laughter. I go out quite a bit longer here. "

This story teaches that ....


People often say Opgpd or lie When I hear that it's hard to believe ... there is someone you know about it? ...