วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

Vampire


แวมไพร์ (Vampire) ผีชนิดหนึ่งตามความเชื่อของชาวยุโรป ในยุคกลาง เชื่อว่าเป็นผีดิบ ที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนมนุษย์ทั่วไป แต่มีฟันแหลมคม ดื่มเลือดของมนุษย์ด้วยกันเป็นอาหารเพื่อหล่อเลี้ยง โดยที่แวมไพร์จะมีชีวิตเป็นอมตะ ไม่มีวันตาย จะปรากฏตัวได้แต่เฉพาะเวลากลางคืน เพราะแพ้เเสงแดดในตอนกลางวัน

แวมไพร์ที่จริงเป็นชื่อของค้างคาวชนิดหนึ่งที่มีอยู่มากในทวีปอเมริกาใต้ มันกัดกินเลือดจากสัตว์อื่นที่ใหญ่กว่ามันจนตายไปคาที่ คำว่าแวมไพร์ มาจากภาษาฮังกาเรียนว่า Vampire อีกต่อหนึ่งและดินแดนฮังการี่นี่เองที่มีตำนานผีดูดเลือดโด่งดังกว่าที่อื่นในโลกเป็นไปได้ว่าความเชื่อเรื่องของแวมไพร์ที่สามารถแปลงร่างเป็นค้างคาวได้ มีที่มาจากค้างคาวขนาดเล็กชนิดนี้

แวมไพร์จะหลบซ่อนอยู่ในโลงของตนหรือในหลุมในเวลากลางวัน สามารถแปลงร่างได้หลายแบบ เช่น ค้างคาว, นกฮูก, หมาป่า, กบ, คางคก, แมลงเม่า, งูพิษ เป็นต้น สามารถกำบังกายหายตัวได้ ไม่มีเงาเมื่อกระทบกับแสงหรือสะท้อนในกระจก มีแรงมากเหมือนผู้ชาย 20 คน

สิ่งที่จะกำราบแวมไพร์ได้คือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา เช่น ไม้กางเขน, น้ำมนตร์ หรือแม้กระทั่งสมุนไพรกลิ่นแรงบางชนิด เช่น กระเทียม วิธีฆ่าแวมไพร์มีมากมาย เช่น ตอกลิ่มให้ทะลุหัวใจ เผา หรือ ตัดหัวด้วยจอบของสัปเหร่อ บุคคลที่ตกเป็นเหยื่อของมัน จะกลายเป็นแวมไพร์ไปด้วย และกลายเป็นสาวกของแวมไพร์ตนที่ดูดเลือดตัวเอง

ชาวยุโรปในยุคกลางนั้น หวาดกลัวแวมไพร์มาก ผู้ที่สงสัยว่าเป็นแวมไพร์ จะตกอยู่ในสถานะเดียวกับแม่มด หรือ มนุษย์หมาป่า คือ ถูกตัดสินลงโทษด้วยการเอาถึงชีวิต มีวิธีการป้องกันการรุกรานของแวมไพร์หลายวิธี

บางหมู่บ้านจะโปรยเมล็ดข้าวไว้บนหลังคาบ้าน เพราะเชื่อว่าแวมไพร์จะง่วนกับการนับเมล็ดข้าวเป็นการถ่วงเวลาจนรุ่งเช้า หรือ โรยเศษขนมปังไว้ตั้งแต่สุสานให้แวมไพร์เดินเก็บเศษขนมนั้นวนเวียนไปมา หรือแม้แต่การวางไม้กางเขนหรือดอกกุหลาบที่มีหนามแหลมเพื่อเป็นการพันธนาการไว้ในโลง

เรื่องราวของผีแวมไพร์ มีมากมาย ที่เป็นนิทานพื้นบ้านและวรรณกรรม โดยวรรณกรรมที่ว่าถึงแวมไพร์ที่เก่าแก่ที่สุด มีมาตั้งแต่สมัยโรมัน วรรณกรรมที่มีชื่อเสียงที่สุดของแวมไพร์คือ เรื่องเคาน์แดร็กคูล่าร์ ของ บราม สโตกเกอร์ ที่โด่งดังจนมีการนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ ละคร ละครเวที หรือแม้แต่กระทั่งภาพยนตร์การ์ตูนมากมายตราบจนปัจจุบัน เช่นภาพยนตร์เรื่อง Nosferatu ในปี ค.ศ. 1922 เป็นต้น

คนไทยเรารู้จักผีดูดเลือดเมื่อหนังสือเรื่อง "แดร็กคูล่า" เกิดขึ้น โดยจำลองมาจากชีวิตของแดร็กคูล่า ซึ่งถึงจะมีตัวตนอยู่จริงๆ แต่ก็ไม่ใช่ผีดูดเลือดที่แท้จริงหากเป็นคนดุร้ายกระหายเลือดเหมือนผีดิบเท่านั้น

ผีดูดเลือดที่แท้จริงเป็นประเภทที่ฝรั่งเรียกว่า "TheUndead" หมายถึงคนที่ตายไปแล้วแต่ยังเคลื่อนไหวและล่าเหยื่อได้เหมือนคนเป็นๆ และการเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยความดุร้าย น่าสะพรึงกลัว มักมีเขี้ยวแหลมยาว กัดคอเหยื่อได้แล้วไม่ยอมปล่อย จะดูดเลือดจนอิ่ม หรือจนกระทั่งเหยื่อตายคาเขี้ยวไปเลยทีเดียวถ้าจะขุดค้นไปถึงต้นตอผีดูดเลือดจริงแล้วจะพบว่าตำนานผีดูดเลือดนั้นมีมาตั้งแต่สมัยกรีกและโรมัน

ในตำนานกรีก มีสัตว์ร้ายชนิดหนึ่งชื่อ ลาเมียเอ (Lamia) เป็นสตรีรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวมักเที่ยวดูดเลือดเด็กเล็กๆ จนตาย และยังชีพด้วยเลือดสดๆ เช่นนั้นตลอดมา โรมันซึ่งรับอารยธรรมจากกรีก ก็มี "ลาเมีย" ของตนเหมือนกัน เมื่อโรมันแพร่อิทธิพลให้กับชาติอื่นๆ ต่างก็รับเอาตำนานผีดูดเลือด ลาเมียเอ นี้ไปโดยทั่วหน้า

ในที่สุดก็ลงความเห็นน่าจะเกิดจากสมัยดึกดำบรรพ์ที่คนเราเพิ่งเริ่มพัฒนาขึ้นมาจากสัตว์นั่นเอง คนสมัยนั้นนิยมกินเนื้อคนด้วยกัน อย่างที่ฝรั่งเรียกว่า "แคนนิบาลิสม์" Cannibalismถึงแม้ว่ากาลเวลาจะผ่านเลยไปแต่สัญชาติญาณดึกดำบรรพ์ที่ป่าเถื่อนนั้นยังคงติดแน่นอยู่ในสันดานของคนบางคนอย่างถอนไม่ออกสัญชาติญาณป่าเถื่อนนี้จึงแสดงออกมาในรูปของความโหดร้ายทารุณ ฆ่ากันแล้วดื่มเลือดกัน เป็นต้น

เคาน์แดร็กคูล่าตัวจริง หรือผู้เป็นต้นแบบของตำนานผีดูดเลือด มีถิ่นฐานบ้านเกิดในดินแดนทรานส์ซิลวาเนียใกล้เคียงกับฮังการี - โรมาเนีย เหตุใดจึงเกิดตำนานเกี่ยวกับผีดูดเลือดแวมไพร์ขึ้นในโลก

   ***ส่วนทางด้านตำนานที่เป็นผู้หญิงที่โหดที่สุดมนประวัติศาสตร์ก็คือ เคาท์เตส อลิซาเบธ บาโธรี่ เป็นหญิงสาวที่มีความเชื่อในเรื่องชีวิตที่เป็นอมตะ และต้องการคงร่างของตนเองให้คงดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ จึงมีความคิดที่ว่า หากได้อาบเลือดของหญิงสาวบริสุทธิ์แล้ว จะทำให้ตนเองดูอ่อนเยาว์ได้ตลอดไป เธอจึงสั่งให้คนรับใช้ไปเอาร่างของหญิงสาวบริสุทธิ์ มากรีดเอาเลือดใส่อ่างด้วยเครื่อง ไอรอน เมเดน (Iron maiden) แล้วอาต่างน้ำเหยื่อที่ต้องสังเวยชีวิตให้กับเธอไปไม่น้อยกว่า 600 คน

กว่าที่เธอจะถูกคนจับไปขังในคุกมืดจนตาย เธอได้รับสมญานามว่า The Blood Countess และ Countess Dracula เธอเกิดเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ค.ศ. 1560 ในเมือง Nyírbátor ประเทศฮังการี เป็นคนในตระกูล บาโธรี่ ซึ่งมีความเกี่ยวดองกับกษัตริย์ฮังการีในสมัยนั้น อลิซาเบธ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ. 1614 (อายุ 54 ปี) ในเมือง Cachtice ประเทศสโลวาเกีย

นอกจากตำนานเหล่านี้ในนวนิยายและภาพยนตร์นั้นแวมไพร์ไม่เคยเสื่อมความนิยมลงไปแม้แต่น้อย ดูได้จากบทประพันธ์หรือหนังที่มีเรื่องผีดูดเลือดมาให้เราได้สัมผัสกันแทบทุกปี

วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เทพีเสรีภาพ



มรดกโลก
เทพีเสรีภาพ (Statue of Liberty)    
อยู่ในนครนิวยอร์กของประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นอนุสาวรีย์ที่ยิ่งใหญ่ และมีคุณค่าทางจิตใจ ตั้งอยู่ ณ เกาะเบคโล ปากอ่าวแมนฮัตตัน นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เป็นของขวัญที่ชาวฝรั่งเศสมอบเอาไว้เป็นของขวัญ แก่ชาวอเมริกัน ในวันที่อเมริกาเฉลิมฉลองวันชาติครบ 100 ปี ณ วันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2419 โดยส่งมอบอย่างเป็นทางการ โดยมี ประธานาธิบดีโกรเวอร์ คลีฟแลนด์ ในวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2429 เทพีเสรีภาพเป็นอนุสาวรีย์ที่เป็นสัญลักษณ์ "เสรีภาพ" ของคนอเมริกันเป็นรูปสตรียืนสูงเด่นอยู่บนแท่นทรงสี่เหลี่ยมสูงที่ตั้งอยู่บนฐานกว้าง 3 ชั้นรองรับกลมกลืนอย่างดี ลดหลั่นกันลงไปอยู่เบื้องล่าง ตัวเทพีสูง 152 ฟุต แขนแต่ละข้างยาว 42 ฟุต นิ้วชี้ยาว 8 ฟุต เล็บนิ้วยาว 10-13 นิ้ว ยืนอยู่บนฐาน

สาเหตุที่ทำให้ชาวฝรั่งเศสมอบเทพีเสรีภาพให้แก่สหรัฐอเมริกา เพราะว่า พวกเขาชื่นชมชาวอเมริกันที่หาญกล้าหาญ ที่ลุกขึ้นสู้กับสหราชอาณาจักร และประกาศอิสรภาพ จากสหราชอาณาจักรสำเร็จ เป็นชาติเอกราชในที่สุด ชาวฝรั่งเศส จึงรณรงค์หาเงินบริจาคจากทั่วประเทศ

สี่เหลี่ยมสูง 150 ฟุต ส่วนที่เป็นลำตัวทำด้วยทองแดงสีเขียวเทอร์คอยส์ ห่มผ้าครุยกรอมเท้า ที่ศรีษะสวมมงกุฏเป็นรัศมีเจ็ดแฉก มือขวาถือโคมไฟชูสูงขึ้นสุดแขน มือซ้ายประคองหนังสือที่ปกเขียนว่า "4 กรกฏาคม 1776" อันเป็นวันประกาศอิสรภาพของอเมริกา ไม่ขึ้นต่ออังกฤษอีกต่อไปและถือเป็นวันชาติอเมริกันมาจนทุกวันนี้ เทพีเสรีภาพนี้ตั้งอยู่บนเกาะเล็ก ๆ ขนาดเนื้อทราว ๆ 30 ไร่ ทำทางเดินขนาดใหญ่เข้าสู่ทางด้านหลังของอนุสาวรีย์ แล้วมีทางเดินรอบเลาะริมน้ำให้ชมได้ทุกมุมนักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมได้ถึงมงกุฏ หรือ ขึ้นถึงแค่ฐานสี่เหลี่ยมต่ำกว่าเท้าขององค์อนุสาวรีย์



วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

แม่น้ำท่าจีน



 ลุ่มน้ำท่าจีนมีพื้นที่รวม 10,878 ตารางกิโลเมตร (6.8 ล้านไร่ครอบคลุมพื้นที่ จังหวัดชัยนาท จังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดนครปฐมและจังหวัดสมุทรสาคร     โดยมี   แม่น้ำท่าจีนเป็นแม่น้ำสายหลักมีความยาว  325  กิโลเมตร    มีขอบเขตเชื่อมต่อกับ    ลุ่มน้ำแม่กลองด้านทิศตะวันตกและเชื่อมต่อกับลุ่มน้ำเจ้าพระยาด้านทิศตะวันออก ตามลักษณะชลศาสตร์สามารถแบ่งพื้นลุ่มน้ำออกเป็น 3 พื้นที่ คือ 

  ลุ่มน้ำท่าจีนตอนบน เริ่มตั้งแต่ปากคลองมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์      จังหวัดชัยนาท  ลงไปจนถึงประตูน้ำโพธิ์พระยา อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี 
       ลุ่มน้ำท่าจีนตอนกลางเริ่มตั้งแต่ประตูน้ำโพธิ์พระยา อำเภอเมือง      จังหวัดสุพรรณบุรี  ลงมาจนถึงสะพานรวมเมฆ   อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม
       ลุ่มน้ำท่าจีนตอนล่าง เริ่มตั้งแต่สะพานรวมเมฆ อำเภอนครชัยศรี         จังหวัดนครปฐม ลงไปจนถึงปากแม่น้ำ อำเภอเมืองจังหวัสมุทรสาคร
ความสำคัญของแม่น้ำท่าจีน
    ลุ่มน้ำท่าจีนเป็นลุ่มน้ำหลักในที่ราบลุ่มภาคกลางที่มีความสำคัญทาง   เศรษฐกิจและสังคมรองจากลุ่มน้ำเจ้าพระยา   ในปี พ.ศ. 2550  ลุ่มน้ำท่าจีนมีประชากรรวม 2.48 ล้านคน จำนวนครัวเรือนรวม 841,945 ครัวเรือน มีชุมชน      ขนาดใหญ่ในระดับเทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบลตั้งอยู่บริเวณริมแม่น้ำท่าจีนรวม 65 ชุมชน
           ในปี พ.ศ. 2549 มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมของจังหวัดในพื้นที่ลุ่มน้ำท่าจีน เท่ากับ 491,056 ล้านบาทต่อปี มีมูลค่าผลิตภัณฑ์เฉลี่ยต่อหัวอยู่ระหว่าง 64,619 – 539,346 บาทต่อคนต่อปี โดยจังหวัดสมุทรสาครมีมูลค่าผลิตภัณฑ์เฉลี่ยต่อหัวสูงสุด รองลงมาได้แก่จังหวัดนครปฐม จังหวัดชัยนาทและจังหวัดสุพรรณบุรี ตามลำดับ
  ลักษณะการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำท่าจีนในปี 2549 ร้อยละ 73.9    (5.4 ล้านไร่) ซึ่งร้อยละ 70 ของการใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นพื้นที่เกษตรกรรมโดยทำนาข้าวเป็นส่วนใหญ่ในเขตจังหวัดชัยนาท สุพรรณบุรีและนครปฐมเป็นพื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ มีพื้นที่รวม 0.43 ล้านไร่ จังหวัดสุพรรณบุรีและนครปฐมเป็น  แหล่งเลี้ยงปลาน้ำจืดและกุ้งก้ามกราม นอกจากนี้จังหวัดนครปฐมยังเป็นแหล่งผลิตสุกรที่สำคัญที่สุดของภาคกลาง สำหรับจังหวัดสมุทรสาครเป็นแหล่งประมงน้ำกร่อยและกุ้งทะเลที่สำคัญ