วันเสาร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Christmas Day




"Christmas Day" redirects here. For other uses, see Christmas (disambiguation) and Christmas Day (disambiguation).
   Christmas (Old English: Crīstesmæsse, meaning "Christ's Mass") is an annual commemoration of the birth of Jesus Christ and a widely observed holiday, celebrated generally on December 25 by billions of people around the world. A feast central to the Christian liturgical year, it closes the Advent season and initiates the twelve days ofChristmastide. Christmas is a civil holiday in many of the world's nations, is celebrated by an increasing number of non-Christians,and is an integral part of theChristmas and holiday season.
The precise year of Jesus' birth, which some historians place between 7 and 2 BC, is unknown. His birth is mentioned in two of the four Canonical Gospels. By the early-to-mid 4th century, the Western Christian Church had placed Christmas on December 25, a date later adopted in the East. The date of Christmas may have initially been chosen to correspond with the day exactly nine months after early Christians believed Jesus to have been conceived,as well as the date of the southern solstice (i.e., the Romanwinter solstice), with a sun connection being possible because Christians consider Jesus to be the "Sun of righteousness" prophesied in Malachi 
The original date of the celebration in Eastern Christianity was January 6, in connection with Epiphany, and that is still the date of the celebration for the Armenian Apostolic Churchand in Armenia, where it is a public holiday. As of 2012, there is a difference of 13 days between the modern Gregorian calendar and the older Julian calendar. Those who continue to use the Julian calendar or its equivalents thus celebrate December 25 and January 6 on what for the majority of the world is January 7 and January 19. For this reason, Ethiopia,RussiaUkraineSerbia, the Republic of Macedonia, and the Republic of Moldova celebrate Christmas on what in the Gregorian calendar is January 7; the Church of Greececelebrates Christmas on December 25.
The popular celebratory customs associated in various countries with Christmas have a mix of pre-ChristianChristian and secular themes and origins. Popular modern customs of the holiday include gift givingChristmas music and caroling, an exchange of Christmas cardschurch celebrations, a special meal, and the display of various Christmas decorations, including Christmas treesChristmas lightsnativity scenesgarlandswreathsmistletoe, and holly. In addition, several closely related and often interchangeable figures, known as Santa ClausFather ChristmasSaint Nicholas and Christkind, are associated with bringing gifts to children during the Christmas season and have their own body of traditions and lore. Because gift-giving and many other aspects of the Christmas festival involve heightened economic activity among both Christians and non-Christians, the holiday has become a significant event and a key sales period for retailers and businesses. The economic impact of Christmas is a factor that has grown steadily over the past few centuries in many regions of the world.

วันอังคารที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2555

mummy'


  A mummy is a body, human or animal, whose skin and organs have been preserved by either intentional or incidental exposure tochemicals, extreme cold (ice mummies), very low humidity, or lack of air when bodies are submerged in bogs, so that the recovered body will not decay further if kept in cool and dry conditions. Some authorities restrict the use of the term to bodies deliberately embalmed with chemicals, but the use of the word to cover accidentally desiccated bodies goes back at least to the 1730s.
Mummies of humans and other animals have been found all around the world, both as a result of natural preservation through unusual conditions, and as cultural artifacts. Over one million animal mummies have been found in Egypt, many of which are cats. The oldest known naturally mummified human corpse is a severed head dated as 6,000 years old, found in 1936 at the site named Inca Cueva No. 4 in South America.
In addition to the well-known mummies of Ancient Egypt, deliberate mummification was a feature of several ancient cultures in areas of South America and Asia which have very dry climates. There are more than 1000 mummies in Xinjiang, China. The oldest-known deliberate mummy is a child, one of the Chinchorro mummies found in the Camarones Valley, Chile, and dates from around 5050 BC


วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2555

Tour de France

(French pronunciation: is an annual bicycle race held in France and nearby countries. First staged in 1903, the race typically covers around 3,200 kilometres (2,000 mi) and lasts three weeks. As the best known and most prestigious of cycling's three "Grand Tours", the Tour de France attracts riders and teams from around the world. The race is broken into day-long segments, called stages. Individual times to finish each stage are aggregated to determine the overall winner at the end of the race. The rider with the lowest aggregate time at the end of each day wears the leader's yellow jersey on the next day of racing.[1] The course changes every year, but the race has always finished in Paris. Since 1975, the climax of the final stage has been along the Champs-Élysées.







วันพุธที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2555

วันครู



วันครูแห่งชาติ






วันครูได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อ 16 มกราคม พ.ศ. 2500 สืบเนื่องมาจากการประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษา เมื่อ พ.ศ. 2488 ซึ่งระบุให้มีสภาในกระทรวงศึกษาธิการเรียกว่า คุรุสภาเป็นนิติบุคคลให้ครูทุกคนเป็นสมาชิกคุรุสภา โดยมีหน้าที่ในเรื่องของสถาบันวิชาชีพครูในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ให้ความเห็นเรื่องนโยบายการศึกษาและวิชาการศึกษาทั่วไปแก่กระทรวงศึกษาธิการ ควบคุม จรรยาและวินัยของครูรักษาผลประโยชน์ ส่งเสริมฐานะของครู จัดสวัสดิการให้ครูและครอบครัว ได้รับความช่วยเหลือตามสมควร ส่งเสริมความรู้และความสามัคคีของครู
ด้วยเหตุนี้ในทุกปี คุรุสภาจะจัดให้มีการประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้แทนครูจากทั่วประเทศแถลงผลงานในรอบปีที่ผ่านมา และชักถามปัญหาข้อข้องใจต่างๆ เกี่ยวกับการดำเนินงานของคุรุสภาโดยมีคณะกรรมการอำนวยการคุรุสภาเป็นผู้ตอบข้อสงสัย สถานที่ ในการประชุมสมัยนั้นใช้หอประชุมสามัคยาจารย์ หอประชุมของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และในระยะหลังใช้หอประชุมคุรุสภา
ปี พ.ศ. 2499 ในที่ประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีและประธานกรรมการอำนวยการคุรุสภากิตติมศักดิ์ ได้กล่าวคำปราศรัยต่อที่ประชุมครูทั่วประเทศว่า
"ที่อยากเสนอในตอนนี้ก็คือว่า เนื่องจากผู้เป็นครูมีบุญคุณ เป็นผู้ให้แสงสว่างในชีวิตของเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าวันครูควรมี สักวันหนึ่งสำหรับให้บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายได้แสดงความเคารพ สักการะต่อบรรดาครูผู้มีพระคุณทั้งหลาย เพราะเหตุว่าสำหรับ คนทั่วไปถ้าถึงวันตรุษ วันสงกรานต์ เราก็นำเอาอัฐิของผู้มีพระคุณบังเกิดเกล้ามาทำบุญ ทำทาน คนที่สองรองลงไปก็คือครูผู้เสียสละ ทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าในโอกาสนี้จะขอฝากที่ประชุมไว้ด้วย ลองปรึกษาหารือกันในหลักการ ทุกคนคงจะไม่ขัดข้อง"
จากแนวความคิดนี้ กอปรกับความเห็นของครูที่แสดงออกทางสื่อมวลชนและอื่นๆ ล้วนเรียกร้องให้มีวันครูเพื่อให้เป็นวันแห่งการรำลึก ถึงความสำคัญของครูในฐานะที่เป็นผู้เสียสละ ประกอบคุณงามความดี เพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นอันมากในปีเดียวกันที่ประชุมคุรุสภาสามัญประจำปีจึงได้พิจารณาเรื่องนี้และมีมติเห็นควรให้มีวันครูเพื่อเสนอ คณะกรรมการอำนวยการต่อไป โดยได้เสนอหลักการว่า เพื่อจะได้ประกอบพิธีระลึกถึงคุณบูรพาจารย์ ส่งเสริมสามัคคีธรรมระหว่างครูและเพื่อส่งเสริม ความเข้าใจอันดีระหว่างครูกับประชาชน
การจัดงานวันครูได้จัดเป็นครั้งแรกเมื่อ 16 มกราคม พ.ศ. 2500 กระทรวงศึกษาธิการสั่งการให้นักเรียนและครูหยุดในวันดังกล่าวได้ ในส่วนกลางใช้สถานที่ของกรีฑาสถานแห่งชาติเป็นที่จัดงานวันครูนี้ได้กำหนดเป็นหลักการให้มีอนุสรณ์งานวันครูไว้แก่อนุชนรุ่นหลังทุกปี อนุสรณ์ที่สำคัญคือ หนังสือประวัติครู หนังสือที่ระลึกวันครู และสิ่งก่อสร้างเป็นถาวรวัตถุ


วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

พระแม่มารี


ประวัติพระนางมารีอา

เราพอจะเล่าประวัติของพระนางมารีอาได้ดังนี้ ท่านนักบุญอากิม(Saint Joachim) และนักบุญอันนา(Saint Anna) เป็นบิดาและมารดาของพระนางมารีอา เดิมไม่มีบุตร เนื่องจากนักบุญอันนาเป็นหมัน ท่านทั้งสองภาวนาต่อพระเป็นเจ้า พระองค์ทรงฟังคำภาวนาของท่านทั้งสอง จึงได้ให้นักบุญอันนาบังเกิดบุตรี ชื่อว่า มารีอา
    พระนางมารีอาถวายตัวแด่พระเป็นเจ้า โดยตั้งใจจะถือพรหมจรรย์ เมื่อถึงเวลาอันควรก็ต้องแต่งงานกับชายคนหนึ่งเพื่อเป็นคู่อุปถัมภ์ พระนางมารีอาได้หมั้นกับนักบุญยอแซฟ ซึ่งเป็นเวลาที่เทวดาคาเบรียลมาแจ้งแก่พระนางว่าจะตั้งครรภ์

เมื่อนักบุญยอแซฟทราบท่านก็ไม่เข้าใจ และคิดจะถอนหมั้นเงียบๆเพราะท่านเป็นคนชอบธรรม แต่เทวดาได้มาแจ้งแก่ท่านในฝันว่า ให้รับพระนางมารีอาไว้เป็นภรรยา เพราะบุตรที่เกิดมาคือองค์พระมหาไถ่ เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นไปโดยอาศัยฤทธิ์อำนาจของพระจิตเจ้า

เราเห็นถึงความรักต่อพระเป็นเจ้าที่พระนางมารีอาแสดงออกในชีวิตอันเป็นแบบอย่างดีแก่เรา ในการรับใช้พระเป็นเจ้าด้วยการทำตามน้ำพระทัยของพระในชีวิตของเรา แม้ท่ามกลางความทุกข์ลำบาก "แม่พระมหาทุกข์ 7 ประการ" คือวันฉลองวันหนึ่งในพิธีกรรมคาทอลิกที่พิจารณาถึงความทุกข์ในชีวิตของแม่พระ อันมีเหตุการณ์ยากลำบาก 7 ประการใหญ่ คริสตชนใช้รำพึง และใคร่ครวญถึงชีวิตที่รักพระ ด้วยการร่วมทุกข์ในแผนไถ่บาปอย่างที่พระเยซูเจ้าสิ้นพระชนม์ไถ่บาปมนุษย์ หากเราเข้าใจความทุกข์ในแง่นี้ เราก็จะสามารถมีชีวิตและบรรลุถึงเมืองสวรรค์ได้ การยอมรับน้ำพระทัยของพระเพื่อเข้าร่วมส่วนในมหาทรมานของพระเยซูเจ้าชดเชยบาป และไถ่บาปมนุษย์ทุกคน
คัดจากหนังสือ " ความเชื่ออันเป็นชีวิต" โดย พงศ์ ประมวล หนังสืออันดับที่ 117 จากการพิมพ์คาทอลิกประเทศไทย
พระนาม "มารีย์" อาจมีความหมายได้ 3 ประการ ดังต่อไปนี้
1. " มารีอา " ภาษาฮีบรู แปลว่า " ดาวทะเล หรือ ดาราสมุทร "

2. " มารีอา" ภาษาซีเรียน แปลว่า " คุณนาย " (Our Lady, Notre Dame, Ma(Mia) Donna)

3. "มารีอา" ภาษาอียิปต์ แปลว่า " ผู้ที่พระเจ้าทรงรัก โปรดปราน" ในสมัยพระเยซูเจ้ามีผู้ตั้งชื่อนี้กันมาก คนแรกที่ใช้ชื่อนี้คือ

พี่สาวของโมเสส(มีเรียม = มารีอา) สมัยชาวอิสราเอล ตกเป็นทาสของชาวอียิปต์

ในสมัยพระเยซูเจ้ามีผู้ตั้งชื่อนี้กันมาก คนแรกที่ใช้ชื่อนี้คือ

พี่สาวของโมเลส (มีเรียม = มารีอา) ในสมัยที่ชาวอิสราเอลตกเป็นทาสของชาวอียิปต์

ตำแหน่งหรือเกียรติที่คริสตชนนิยมถวายแด่พระนางมารีย์ คือ ตำแหน่งพระแม่ - พระมารดา เป็นตำแหน่งที่มีระบุไว้ในพระวรสาร เมื่อพระเยซูเจ้าจะสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พระองค์ได้มอบยอห์นให้เป็นลูก และมอบพระนางมารีย์เป็นแม่ (เทียบ ยน.19:26-27)

นับตั้งแต่สมัยพระสันตะปาปาซิกส์โตที่ 4 ในศตวรรษที่ 15 เรื่อยมา คำสอนเกี่ยวกับพระแม่มารีย์ มารดาของชาวเรา ได้รับการอธิบายและเน้นเด่นชัด พระมารดาเป็นมารดาของชาวเรา ในความหมาย 3 ประการคือ

1) ในความหมายเปรียบเทียบ พระนางมารีย์บำเพ็ญพระองค์เหมือนแม่ ภาวนาวอนขอพระหรรษทานเพื่อลูก

2) ในความหมายเป็นแม่เลี้ยงหรือแม่บุญธรรม เพราะพระเยซูเจ้าทรงยกพระนางให้เป็นแม่ของชาวเรา

3) ในความหมายเป็นแม่จริงๆ คือ ถ่ายทอดวิญญาณให้เรา โดยการให้กำเนิดชีวิตเหนือธรรมชาติ (เป็นผู้ร่วมไถ่บาป)

สังคายนาแห่งเมืองเอเฟซัส (ค.ศ.431) ประกาศว่า พระนางมารีย์ทรงเป็นพระมารดาพระเจ้า ( Theotokos – Mater Dei ) หมายความว่า พระเยซูเจ้าซึ่งเป็นพระบุตรของพระแม่มารีย์ทรงเป็นมนุษย์แท้และพระเจ้าแท้ พระแม่มารีย์ซึ่วเป็นมารดาของพระเยซูเจ้าทั้งครบ ก็ย่อมได้รับสมญานามว่า มารดาพระเจ้า
พระนางพรหมจารี เป็นตำแหน่งสำคัญอีกตำแหน่งหนึ่งของพระแม่มารีย์ ในวัฒนธรรมยิวคริสต์

พรหมจารีหมายถึง บุคคลหรือกลุ่มชนที่ถวายตัวแด่พระเจ้า และยืนหยัดสัตย์ซื่อต่อพระองค์ พรหมจารีต้องเป็นผู้รักษาความบริสุทธิ์ทางกายทั้งครบ เพื่อเป็นเครื่องหมายความสัตย์ซื่อ และการถวายตัวแด่พระเจ้าอย่างแท้จริง การถวายตัวเป็นพรหมจารีเช่นนี้ ทำให้พระนางมารีย์เป็นทั้งพรหมจารีและมารดา เพราะความสนิทสัมพันธ์กับพระเจ้าทำให้เกิดความสมบูรณ์ทางวิญญาณ

พระคุณพิเศษที่พระแม่มารีย์ได้รับจากพระเจ้าเหนือกว่ามนุษย์ใดๆ คือ การปฏิสนธินิรมล เทวดาคาเบรียลยืนยันพระคุณนี้ โดยการทักทายพระนางว่า วันทามารีอา เปี่ยมด้วยหรรษทาน.......

สมเด็จพระสันตะปาปาปีโอที่ 9 ทรงประกาศการปฏิสนธินิรมลของพระแม่มารีย์ เป็นข้อความเชื่อในสมณสาสน์ Ineffabilis Deus เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 1854

พระสันตะปาปาปีโอที่ 12 ได้ทรงประกาศการได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ทั้งกายและวิญญาณเป็นข้อความเชื่อในสมณสาสน์ Munificentissimus Deus เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1950

* ความศรัทธาต่อแม่พระ เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยอัครสาวก

* ผู้นิพนธ์พระวรสารยกย่องพระแม่มารีย์เช่น นักบุญลูกา ( ลก.1 : 43, 11: 28 ) นักบุญมาร์โก ( มก. 3: 35 ) นักบุญยอห์น ( ยน.2: 1-12 ) นักบุญเปาโล

* ในศตวรรษที่ 2 พูดถึงพระเม่มารีย์ว่าเป็น เอวาใหม่ หลังจากประกาศข้อความเชื่อที่เมืองเอเฟซัส ( ค.ศ.431 ) ว่า พระนางเป็นมารดาพระเจ้าความศรัทธาต่อพระปม่มารีย์ได้แผ่วงกว้างไกลยิ่งขึ้น มีวัดถวายแด่พระแม่มารีย์มากมาย มีบทภาวนาต่างๆ สรรเสริญแม่พระเช่น Ave Maria Stella, Salve Regina ส่วนบทวันทามารีอาเริ่มมีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 6

* ในศตวรรษที่ 7 พระศาสนจักรตะวันตกเริ่มรับเอาการฉลองอื่นๆ เกี่ยวกับแม่พระ ซึ่งพระศาสนจักรทางตะวันออกมีอยู่ก่อนแล้ว ทั้งนี้เพราะพระสันตะปาปาในช่วงนั้นคือ Theodore I และ Sergius I เป็นชาวกรีก วันฉลองเหล่านี้ได้แก่

1) แม่พระถือศีลชำระ (ถวายพระกุมารในวิหาร)

2) แม่พระรับสาร

3) แม่พระได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์

4) แม่พระทรงบังเกิด

สังคายนาวาติกันที่ 2 ได้ปรับปรุงความศรัทธาต่อพระแม่มารีย์ตามหลักเทววิทยาเสียใหม่ หลักสำคัญที่สุด คือ การที่พระนางทรงเป็นมารดาของชาวเรา

ความศรัทธาต่อแม่พระแสดงออกได้ 3 ทาง คือ

1) การเคารพนับถือพระนาง

2) การวิงวอนของพระนาง

3) การเลียนแบบอย่างพระนาง

อนึ่งความศรัทธาต่อพระแม่มารีย์ มิใช่การนมัสการ เพราะการนมัสการเราใช้กับ พระเจ้าเท่านั้น เราเคารพนับถือพระแม่มารีย์เป็นพิเศษเหนือนักบุญและเทวดาเท่านั้น

ทำไม....คริสตชนคาทอลิก มีความศรัทธาภักดีต่อ “ แม่พระ ”
คริสตชนนิกายโรมันคาทอลิก มีความศรัทธาภักดีต่อพระนางมารี คริสตชนเรียกว่า “ แม่พระ ”
   คำว่า “ แม่พระ ” เป็นคำที่ยกย่องพระนางมารีอาตั้งแต่สมัยศตวรรษแรกๆ บรรดาคริสตชนถึงกับถวายพระนามว่า “ พระมารดาพระเจ้า ” ( Mater Dei ) นักเทววิทยาได้อธิบาย และอ้างข้อความในพระคัมภีร์สนับสนุนข้อความเชื่อนี้ และข้อความเชื่ออื่นๆ อีกหลายประการเกี่ยวกับพระนางมารีอา เช่น “ แม่พระเป็นผู้ปฏิสนธินิรมล ” หมายถึง พระนางมารีอาบังเกิดมาในโลกโดยปราศจากบาปกำเนิดได้รับการยกเว้นจากพระเป็นเจ้า มิให้ต้องแปดเปื้อนด้วยบาปความผิดพลาดที่ตกทอดมาจากอาดัมและเอวา
“ แม่พระรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ทั้งกายและวิญญาณ ” เป็นความเชื่อว่าเมื่อพระนางมารีอาสิ้นใจ ได้รับเกียรติจากพระเป็นเจ้าให้ออกมาจากโลกนี้ พร้อมทั้งร่างกายและวิญญาณไปสู่สวรรค์ คริสตชนยุคแรกๆ เชื่อกันมาดังนี้เป็นเวลายาวนาน ก่อนที่พระสันตะปาปาจะประกาศ เป็นข้อความเชื่อที่คริสตชนต้องเชื่อเสียอีก
แต่คริสตชนมีความศรัทธาภักดีต่อแม่พระ ก็เนื่องจากชีวิตและฤทธิ์กุศล ความดีงามต่างๆ ในชีวิตของพระนาง เป็นแบบอย่างที่ดีแก่เราในการดำเนินชีวิตคริสตชน ฤทธิ์กุศลที่สำคัญในชีวิตแม่พระคือ ความบริสุทธิ์ หมายถึง พระนางมารีอาบังเกิดมาไม่มีบาปกำเนิด และยังดำเนินชีวิตถือตามพระบัญญัติของพระเป็นเจ้าอย่างครบถ้วน ไม่กระทำบาป อีกทั้งได้ถวายตัวแด่พระเป็นเจ้าตั้งแต่ยังเด็ก โดยตั้งใจว่าจะถือพรหมจรรย์ แต่พระเป็นเจ้าก็ทรงมีแผนการโดยการใช้ให้เทวดาคาเบรียลมาแจ้งแก่แม่พระว่า พระนางจะตั้งครรภ์และกำเนิดบุตรชาย และให้ตั้งชื่อว่า “ เยซู ” พระนางมารีอาถามว่า เหตุการณ์นี้จะเป็นไปได้อย่างไร เพราะพระนางยังเป็นพรหมจารีอยู่ เทวดาตอบว่าการตั้งครรภ์นั้น มิได้เกิดตามธรรมชาติฝ่ายเนื้อหนัง แต่เกิดจากฤทธิ์อำนาจของพระจิตเจ้า เด็กที่เกิดมาจะเป็นพระผู้ไถ่โลก พระนางมารีจึงตอบว่า “ ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า จงเป็นไปแก่ข้าพเจ้าตามวาทะของท่าน ” ( ลก.1:38 ) แล้วนั้นพระวจนาตถ์ก็ทรงรับเอากาย และมาประทับอยู่ท่ามกลางเรา ( ยน. 1: 34 )
ความสุภาพ นอบน้อมเชื่อฟัง พระนางมารีอามีความสุภาพ นอบน้อมเชื่อฟังน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้า อันเป็นฤทธิ์กุศลที่บรรดาคริสตชนพึงมี พระเยซูเจ้าสอนเราให้แสวงหาน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้า ก่อนอื่นใด แล้วที่เหลือ พระเป็นเจ้าจะแถมให้แก่เราเอง หมายถึง จัดการทุกสิ่งทุกอย่างแก่เราเอง คริสตชนยินดีรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตด้วยความนอบน้อมราบเรียบ ด้วยความไว้วางใจในพระเป็นเจ้า ความรัก การยินดีเสียสละน้ำใจตนเอง เพื่อรับน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้ามาเป็นอันดับหนึ่งในชีวิตคริสตชน เพราะรักพระเป็นเจ้า พระนางจึงยอมรับทุกอย่างเพื่อให้สำเร็จตามแผนการไถ่บาปมนุษย์ของพระเป็นเจ้า

คริสตชนทุกคนต้องมีส่วนร่วมในการกอบกู้มนุษยชาติให้กลับมาเป็นลูกของพระ พระนางมารีอาได้ร่วมมือกับพระเป็นเจ้า ไม่ว่าจะมีความยากลำบากสักเพียงใดอยู่ในเหตุการณ์นี้ ฯลฯ ความดีและฤทธิ์กุศลที่พระนางมารีอาเสียสละ พระเยซูเจ้าทรงตอบแทน และคืนความดีทุกอย่างแด่แม่ของพระองค์ นั่นคือ โดยการยกเอาพระนางมารีอาไปสวรรค์ทั้งร่างกายและวิญญาณ

บัดนี้เราเชื่อว่า พระนางมารีอาประทับอยู่บนสวรรค์กับพระเยซูเจ้าพระบุตรของพระนาง แต่พระนางก็ยังทรงรักและเมตตาพวกเราทุกคน ลูกๆ ของพระนาง ด้วยว่า แทบเชิงกางเขน ก่อนพระเยซูสิ้นพระชนม์บรรดาสานุศิษย์ต่างกลัว และหนีไปหมด แต่พระแม่กลับยืนอยู่แทบกางเขนกับนักบุญยอห์น ณ ที่นั่น พระเยซูเจ้ามองลงมาจากกางเขน แล้วตรัสว่า “ สตรีเอ๋ย นี่แน่ะ ลูกของท่าน ” และตรัสแก่ศิษย์นั้นว่า “ นี่แน่ะ แม่ของเจ้า ” ตั้งแต่นั้นมาศิษย์ผู้นั้นก็รับพระนางไปอยู่ที่บ้านของตนเป็นเสมือนคำที่พระเยซูเจ้ามอบชาวเราทุกคนให้เป็นลูกของแม่พระ และให้แม่พระดูแลรับเราเป็นลูกของพระนาง เป็นผู้เสนอวิงวอนตามคำภาวนาของเราที่มีต่อพระเป็นเจ้า แท้จริงคริสตชนมิได้นมัสการพระนางมารีอา แทนพระเจ้า แต่ใช้คำว่า “ ศรัทธาภักดี ” ด้วยความเชื่อเก่าแก่ที่สืบทอดมาทางธรรมประเพณี ( Tradition ) ว่าพระนางเป็นผู้นำคำภาวนาของเราไปทูลขอต่อพระเป็นเจ้าเพื่อเราด้วยว่า คริสตชนรำลึกถึงความต่ำต้อย และไม่สมควรของเรา

คำภาวนาอาศัยพระนางมารีอาย่อมสมควรกว่า ความศรัทธาภักดีต่อพระนางมารีอาที่ถูกต้องก็คือ พระนางจะพาลูกๆ ของพระนางทุกคนไปหาพระเจ้า “ เข้าหาพระเยซูเจ้าผ่านทางแม่พระ ” เป็นคำพูดเตือนใจเราคริสตชนอยู่เสมอ การแสดงความศรัทธาภักดีต่อพระนางมารีอาอาจสามารถแสดงออกได้หลายอย่างเช่น

1)การสวดภาวนา

2)การทำนพวารพระมารดานิจจานุเคราะห์

3)การแห่พระรูปแม่พระ

4)การประพฤติเลียนแบบฤทธิ์กุศลอันดีงามต่างๆ ของแม่พระ





วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2555

กากี




   
    กากีนับเป็นนางเอกที่อื้อฉาวที่สุดก็ว่าได้ นางกากีนี้นอกจากจะมีรูปกายงดงามราวกับเทพธิดาแล้ว ยังมีกลิ่นกายหอมเป็นเสน่ห์พิเศษอีกอย่างหนึ่ง ชายใดที่แตะต้องสัมผัสนางกลิ่นกายนางก็จะหอมติดชายคนนั้นไปถึงเจ็ดวันเลยทีเดียว นางกากีเป็นพระมเหสีของท้าวบรมพรหมทัต ซึ่งโปรดการเล่นสกามาก และมีพระยาครุฑเวนไตยซึ่งแปลงร่างเป็นมานพรูปงามมาเล่นสกาอยู่ด้วยเนืองๆ จนวันหนึ่งเล่นเพลิน มิได้ไปหานางกากี นางจึงมาแอบดู และสบตาเข้ากับพระยาครุฑแปลง ต่างก็เกิดอาการหวั่นไหว ภาษาสมัยใหม่ก็ต้องว่าเกิดอาการ”ปิ๊ง”กัน ต่อมาพระยาครุฑได้บินมาลักพานางไปอยู่ที่วิมานฉิมพลี ทำให้ท้าวพรหมทัตกลัดกลุ้มพระทัย คนธรรพ์นาฏกุเวร (คนธรรพ์คือเทวดาชั้นผู้น้อยที่มีความชำนาญด้านดนตรี) ซึ่งเป็นพี่เลี้ยงของท่านท้าวก็อาสาจะพานางกลับมาให้ จึงได้แปลงตัวเป็นไรแทรกขนครุฑตามไปวิมานของครุฑ ครั้นพระยาครุฑบินออกไปหาอาหาร นาฏกุเวรคนธรรพ์ก็ออกมา แต่แทนที่จะพานางกลับเมือง กลับเกี้ยวพาและเล้าโลมนางจนได้เสียกัน แล้วกลับมารายงานท่านท้าวว่านางกากีจะอยู่กับครุฑและตนได้เสียกับนางแล้วเพื่อให้ครุฑรังเกียจนาง ท่านท้าวก็โกรธแต่ทำอะไรมิได้ ต่อมาพระยาครุฑแปลงมาเล่นสกาอีก ก็ถูกคนธรรพ์เล่นพิณเยาะเย้ย เมื่อสอบถามได้ความจริง พระยาครุฑก็โกรธนางกากี นำกลับมาปล่อยไว้ในเมือง ครั้นท่านท้าวเห็นนางก็ว่าถากถางและนำนางไปลอยแพกลางทะเล ต่อมานางได้รับความช่วยเหลือจากนายสำเภา ซึ่งได้รับนางเป็นภรรยา แต่เคราะห์กรรมนางก็ยังไม่หมด ต่อมาถูกนายโจรมาลักพาตัวไปเพราะหลงใหลในความงาม ปรากฏว่าในหมู่โจรก็เกิดการแย่งชิงนางขึ้นมาอีก นางหนีไปได้ ต่อมาได้เป็นมเหสีของท้าวทศวงศ์ กษัตริย์อีกเมือง สุดท้ายปรากฏว่านาฏกุเวรที่ได้ครองเมืองแทนท้าวบรมพรหมทัตที่สวรรคตลง ก็ตามไปชิงนางคืนมาและฆ่าท้าวทศวงศ์เสีย เรื่องก็จบลง นับดูแล้วนางกากีมีสามีถึง ๕ คน แสดงว่าต้องเป็นคนที่เซ็กซี่มีเสน่ห์ดึงดูดเพศตรงข้ามอย่างมาก จึงต้องตกระกำลำบากถูกสังคมประณามเพราะเสน่ห์แรงเกินไปนี่เอง ....

วันศุกร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2555

songkran





The history of songkran...

Deriving from the Sanskrit language, the word Songkran means to pass or to move into. In this context, the meaning implies to the passing and the moving of the sun, the moon and the other planets into one of the zodiacal orbits. And the Grand Songkran Festival which falls in Aries indicates the new era of the Thai New Year. Owing to the ancient Indian belief, the Grand Songkran Festival is most appropriate to be the Thai New Year due to the timing of the best season which is known as the spring of India which comes right after the cold season of winter. Also, there are other aspects supporting this belief such as blooming flowers, the fresh atmosphere of nature and the livelihood of all living creatures.


With the great influence from the Indians, the Songkran Festival portrays the typical ways of life of the Thais which involve the agricultural aspects. Free from their regular routine work, the Thai citizens will find time to perform their annual rites of showing respect to their ancestors. The highlight of the festival will include the younger Thais paying respect to their elders by sprinkling their hands with scented water. And in order to welcome the New Year, the celebration will include the delightful colourful local entertainment, which in fact, suitably unites the mutual relationship between members of the family, society, nature and the surroundings. Therefore, this Songkran Festival has proved to be the most important and grandest festival of the year. Moreover, our neighbouring countries such as Myanmar, Cambodia and Lao PDR. have also organised this type of festival.


During the Sukhothai period, the Songkran Festival was practised both in the royal court palace and among the ordinary citizens. However, the size of the celebration was not as elaborate as of today. Back in those days, civil servants and other government officials would pay homage to the king, and would drink the oath of allegiance to the king or the government, while the king would provide an annual salary to all officials. Later on in the Ayutthaya period, the festival was expanded by including the bathing of the Buddha image. Also, the festivities would include the forming of sand pagodas and entertaining celebrations. In the Rattanakosin period, the rituals have been conducted in a similar pattern as those during the Ayutthaya period.

วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2555

อันตราย ! จากยาลดความอ้วน


    

ผลเสียจากความอ้วน คือหนทางนำไปสู่โรคร้ายนานาชนิด เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือโรคร้ายอย่างมะเร็ง เป็นต้น โดยเฉพาะคุณผู้หญิง ซึ่งนอกจากโรคร้ายที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ยังเกี่ยวเนื่องกับ ความสวยความงามอีกด้วย
         ดังนั้น เมื่อคนส่วนใหญ่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน จึงต้องการลดน้ำหนักส่วนเกินด้วยกันทั้งสิ้น ต่างแสวงหาวิธีการต่างๆ นานา ที่จะทำให้น้ำหนักส่วนเกินนั้นหายไป หรือหากเป็นไปได้ไ ม่ต้องทำอะไรมาก แค่กินยาอย่างเดียว เจ้าไขมันส่วนเกินก็หายไปในบัดดล หรือจะด้วยวิธีใดก็ตามที่ไม่ต้อเสียเหงื่อ ออกแรงมาก ก็สามารถกำจัดเจ้าไขมันเหล่านี้ออกไปจากร่างกายได้
         ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หลายคน มองข้ามอันตราย ที่จะเกิดกับสุขภาพของตนเองไป  การใช้ยาลดความอ้วนดูเหมือนจะเป็นวิธีที่นิยมมาก ในกลุ่มคนเจ้าเนื้อทั้งหลาย แต่ทราบหรือไม่ว่า ยาลดความอ้วนที่วางขายอยู่ตามท้องตลาดนั้น  ส่วนใหญ่เป็นตัวยาที่อยู่ในกลุ่มท ี่ช่วยลดความอยากอาหาร   หรือทำให้เบื่ออาหารเท่านั้น  ที่สำคัญยาในกลุ่มนี้  จะมีข้อเสียมากกว่าข้อดี   เพราะหลังจากที่คุณรับประทานยานี้แล้ว  จะทำให้นอนไม่หลับ ปากแห้ง  กระหายน้ำ  หงุดหงิด  คลื่นไส้  อาเจียน  เวียนศีรษะ  และเมื่อใช้ยาไประยะหนึ่งจะเกิดภาวะดื้อยา ทำให้ต้องเพิ่มขนาดของยามากขึ้น และอาจจะเป็นอันตรายต่อร่างกายได้  ดังนั้น การใช้ยาประเภทนี้ จึงต้องอยู่ภายใต้ความดูแลของแพทย์ อย่างใกล้ชิดเท่านั้น  และเมื่อคุณหยุดใช้ยาส่วนใหญ่ จะกลับมามีน้ำหนักเท่าเดิม หรือเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม
         ก่อนหน้ามียาคู่แฝดมหัสจรรย์ซึ่งเคยได้รับอนุญาติให้สามารถจำหน่ายได้ แต่ปัจจุบันถูกระงับใช้ ไปเรียบร้อยแล้ว นั่นคือ ยาเฟน-เฟน (Fen-Phen) ซึ่งหมายถึง เฟนฟลูรามีน (Fenfluramine) กับ เฟนเทอร์มีน (Phentermine) อันเป็นยายอดฮิตในการลดความอ้วน ความเสี่ยงของยาเฟนฟลูรามีนนี้ อาจทำให้ผู้รับประทานเกิดภาวะควมดันโลหิตสูงในหลอดเลือดส่งไปยังปอด ทำให้เลือดดำเปลี่ยนเป็น เลือดแดงที่ปอดไม่ได้ ร่างกายก็จะขาดออกซิเจน มีอาการหายใจลำบาก หายใจไม่เต็มอิ่ม เจ็บปวดที่หน้าอก เป็นลมง่าย บางครั้งเลือดไหลเวียนไม่ดีมีอาการบวมที่ขาด้วย และหากท่านใช้ เฟนฟลูรามีน ควบคู่กับ เฟนเทอร์มีน จะพบว่าทำให้ลิ้นหัวใจผิดปกติ ไม่สามารถปิดสนิท อันนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลวได้
         นอกจากตัวยาที่กล่าวแล้วข้างต้น  การใช้ยาระบาย  ยาขับปีสสาวะและสมุนไพรต่างๆ ซึ่งเป็นที่นิยมเช่นกัน แต่ผู้ใช้ก็ต้องระวัง เนื่องจากตัวยาเหล่านี้ มีคุณสมบัติเป็นยาถ่ายอย่างแรง มีผลให้ร่างกายขับถ่ายน้ำออกไปเท่านั้น โดยที่ ไม่ได้ละลายไขมันออกมาเลย และหากใช้ยาระบายติดต่อกันเป็นประจำ จะส่งผลให้ลำไส้บีบตัวเองไม่เป็น ในที่สุดก็เกิดภาวะท้องผูกเรื้อรัง นอกจากนี้ยังทำให้ร่างกายสูญเสียเกลือแร่บางอย่างมากเกินไป โดยเฉพาะโปแตสเซียม ซึ่งจำเป็นต่อการเต้นของหัวใจ เกิดความไม่สมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย อาจทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ หรืออาจจะหยุดเต้นได้
         ทางที่ดีที่สุดของการลดความอ้วนให้ปลอกดภัย  ควรเริ่มจากตัวคุณเอง  เริ่มฝึกตัวเองให้มีบริโภคนิสัยที่ดี  หลีกเลี่ยงอาหารที่มไขมันและให้พลังงานสูง บริโภคผักและผลไม้เป็นประจำ หมั่นออกกำลังกายและพักผ่อนให้เพียงพอ หากคุณปฎิบัติได้ตามนี้ คุณก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งยาขนานใด เพื่อลดน้ำหนักส่วนเกินเลยก็ได้ 

วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ความโรธ






10 วิธี ระงับความโกรธ

บ่อยครั้งที่เราอารมณ์เสีย

แล้วก็มักจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่น่ากลัวมากทั้งต่อบุคลิกภาพแล้วยังส่งผลเสียต่อสุขภาพอีกด้วย เรามาหาวิธีระงับความโกรธ กันดีกว่า

1.หลีกเลี่ยง
การหลีกเลี่ยงต่างจากการหลีกหนี ไม่ได้แปลว่าคุณขี้ขลาด หรือกลัวเลยซักนิดเดียว แต่หมายถึงการแสดง EQ ในตัวคุณต่างหาก ที่สามารถระงะบอารม โกรธได้เป็นอย่างดี

2.หาที่ปรึกษา
ต้องหาที่ปรึกษาที่ไว้ใจได้ ไม่งั้นเขาอาจเป็นงูพิษ แว้งกัด ได้

3.กินแก้โกรธ
การกินอาหารที่ตัวเอง ชอบ อาจทำให้เราลืมเรื่องที่เราโกรธได้

4.เย็นดับร้อน
หาเครื่องดื่ม เย็นๆสักแ้ก้ว เผื่อความหวาน ความเย็นจะช่วยให้หายโกรธได้

5.หัวเราะชนะโกรธ
ลองดูหน้าตัวเองเวลาโกรธ ในกระจกแล้วหัวเราะเยาะ มันจะทำให้เราลืมความโกรธได้

6.น้ำตาชนะทุกอย่าง
การร้องไห้เป็นการระบายความเครียด รวมทั้งเป็นการระบายความโกรธได้อีกด้วย ลองปล่อยน้ำตาไห้ไหลออกมาโดยไม่ต้องบังคับ แล้วมันช่วยให้เราสบายใจขึ้น

7.ร้องเพลงไง
การร้องเพลงช่วย ผ่อนคลายความเครียด ร้องหั้ยมันดังๆปลดปล่อยความเครียดให้มันออกออกจากร่ากายให้เต็มที่ แล้วความโกรธจะค่อยๆหลุด ตามเสียงที่เราตะโกน เอง

8.ลืมมันซะ
หากิจกรรมทำ เลิกคิดถึงเรื่องที่ทำให้คุณโกรธ ให้สมองได้พักผ่อนไปกับสิ่งที่คุณชอบ อย่าไปใส่ใจ กับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องเลย

9.นอนหลับซะเลย
เวลาคนเราโกรธ มักจะรู้สึกปวดหัว ถ้าได้พักผ่อนบ้าง ตื่นมาอาการคงดีขึ้น

10.รู้จักอภัย
การให้อภัยนอกจากจะเป็นการให้โอกาสคนอื่นแล้ว ยังทำให้เราสบายใจขึ้นอีกด้วย

วันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2555

บรูไน


บรูไนดารุสซาลาม


 


บรูไน (มาเลย์: Brunei) หรือ เนการาบรูไนดารุสซาลาม (มาเลย์: Negara Brunei Darussalam) เป็นประเทศที่ตั้งอยู่บนเกาะบอร์เนียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชายฝั่งทางด้านเหนือจรดทะเลจีนใต้พรมแดนทางบกที่เหลือจากนั้นถูกล้อมรอบด้วยรัฐซาราวัก ประเทศมาเลเซียบรูไนเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันเป็นสินค้าหลัก (ปริมาณการผลิตน้ำมันประมาณ 180,000 บาเรล/วัน) 


ประวัติ
บรูไนเป็นที่รู้จักและมีอำนาจมากในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14ถึง คริสต์ศตวรรษที่ 16 โดยมีอาณาเขตครอบครองส่วนใหญ่ของและส่วนหนึ่งของเกาะบอร์เนียว หมู่เกาะซูลู มีชื่อเสียงทางการค้า สิ้นค้าส่งออก ที่สำคัญในสมัยนั้น ได้แก่ การบูน พริกไทย และทองคำ หลังจากนั้นบรูไนเสียดินแดนและเสื่อมอำนาจลงเนื่องจากสเปน และ ฮอลันดาได้แผ่อำนาจเข้ามาจนถึงสมัย คริสต์ศตวรรษที่  19 ในปี พ.ศ 2431 (ค.ศ. 1888) ด้วยความวิตกว่าจะต้องเสียดินแดนต่อไปอีก บรูไนจึงได้ยินยอมเข้าอยู่ภายใต้อารักขาของอังกฤษ และต่อมาในปี พ.ส 2449(ค.ศ. 1906) บรูไนได้ลงนามในสนธิสัญญายินยอมอยู่เป็นรัฐในอารักขาของอังกฤษอย่างเต็มรูปแบบในปี พ.ศ. 2472 (ค.ศ. 1929) บรูไนสำรวจพบน้ำมันและแก๊สธรรมชาติที่เมืองเซรีอาร์ทำให้บรูไนมีฐานะมั่งคั่งในเวลาต่อมาในปี พ.ศ . 2505(ค.ศ. 1962) ได้มีการเลือกตั้ง ซึ่งพรรคประชาชนบอร์เนียว (Borneo People’s Party) ได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้น แต่ถูกกีดกันไม่ให้จัดตั้งรัฐบาล ต่อมาจึงได้ยึดอำนาจจากสุลต่านแต่สุลต่านทรงได้รับความช่วยเหลือจากกองทหารกุรข่าที่อังกฤษส่งมาจากสิงคโปร์ หลังจากนั้นได้มีประกาศภาวะฉุกเฉินและต่ออายุทุก ๆ 2 ปี เรื่อยมาจนถึงปัจจุบันหลังจากที่อยู่ภายใต้อารักขาของอังกฤษมาถึง 95 ปี บรูไนก็ได้รับเอกราชเมื่อวันที่ 1 มหราคม พ.ศ 2527 (ค.ศ. 1984)

ลักษณะเศรษฐกิจและทรัพยากร

บรูไนเป็นประเทศที่ร่ำรวยไปด้วยน้ำมันและก๊าชธรรมชาติซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำรายได้มาสู่ประเทศเป็นอันดับหนึ่ง แต่รัฐบาลบรูไนก็เริ่มตระหนักว่าประเทศชาติจะพึ่งพิงรายได้จากทรัพยากรทั้งสองอย่างเท่านี้ไม่ได้เสียแล้ว แต่ควรหันมาให้ความสนใจกับทรัพยากรธรรมชาติอี่น ๆ ที่ยังคงมีมากมายเช่น ป่าไม้ แร่ธาตุ สัตว์น้ำ และพื้นที่อันอุดมสมบรูณ์เหมาะแก่การเกษตร เพื่อเป็นการเร่งรัดการพัฒนารูปแบบของการลงทุน สุลตานบรูในได้ทรงตั้งกระทรวงขึ้นมาใหม่คือกระทรวงอุตสาหกรรมและทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อทำหน้าที่ดูแลวางแผนและดำเนินงานด้านอุตสาหกรรมและการลงทุนโดยเฉพาะ โครงการอุตสาหกรรมที่ได้รับการสนับสนุนและเร่งรัดส่งเสริมเป็นพิเศษ ได้แก่ อุตสาหกรรมขนาดเล็ก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่สัมพันธ์กับภาคเกษตร ป่าไม้ และการประมง การดำเนินการช่วงแรกนั้น รัฐบาลมุ่งสนับสนุนโรงงานและอุตสาหกรรมขนาดเล็กในภูมิภาคที่สามารถป้อนผลผลิตให้กับผู้บริโภคในท้องถิ่นก่อนเป็นอันดับแรกแล้วจึงขยายไปสู่การผลิตเพื่อการส่งออกในระยะยาว รัฐบาลได้ตั้ง่ความหวังว่าอุตสหกรรมเหล่านี้จะเป็นแหล่งที่เข้ามาแทนที่อุตสาหกรรมน้ำมันที่อาจหมดไปในอนาคต โดยที่ประชาชนยังมีหลักประกันว่าจะมีงานทำ บรูไนเป็นประเทศที่มั่งคั่งด้วยทรัพยากร ขณะนี้ยังมีประชากรน้อยมาก แต่บรูไนก็ไม่ได้หวังพึ่งพารายได้จากการขายน้ำมันเพียงอย่างเดียว ได้พยายามที่จะพัฒนาประเทศให้พึ่งพาตัวเองได้ อย่างไรก็ตามบรูไนเป็นประเทศที่มีค่าครองชีพสูงมากแห่งหนึ่งของโลก แต่รัฐบาลได้ให้สวัสดิการอย่างดีเลิศแก่ประชาชน อาทิ ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ส่วนบุคคล ค่ารักษาพยาบาลฟรี การศึกษา รัฐให้เปล่าจนถึงระดับชั้นมัธยมศึกษานอกจากนี้ยังมีสวัสดิการแก่ข้าราชการของรัฐ อุตสาหกรรมสำคัญของประเทศ คือ น้ำมัน ส่วนพืชเกษตรที่สำคัญ ได้แก่ ข้าว  กล้วย

ศาสนา

ส่วนใหญ่ชาวบรูไนนับศาสนา อิสลามนิกายสุหนี่67% รองลงมาเป็นศาสนาพุทธนิกายมหายาน13% ศาสนาคริสต์ 10% ศาสนาฮินดู ความเชื่อพื้นเมืองและอื่นๆตามมา



 


วันเสาร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2555

เดอะเวฟ” (The Wave)

                

     “เดอะเวฟ” (The Wave) อยู่ที่รัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา คือ ภูเขาหินทรายที่ฟอร์มตัวในลักษณะคล้ายคลื่นลาดชัน และคดเคี้ยว เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 190 ล้านปีก่อนหรือในยุคจูราสสิก เนื่องจากพื้นที่แถบนี้มีความเปราะบางมาก จะเรียกว่าเป็นสถานที่เที่ยวที่มีความแปลก และท้าท้ายให้ คนธรรมดาอย่างเราๆ อยากจะพิชิตให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต
      และรู้ไหม...ในการเข้าชมนั้น เขามีการจำกัดให้เข้าชมได้เพียงวันละไม่เกิน 20 คน และต้องเดินเท้าเข้าไปเกือบ 5 ก.ม. จึงจะถึงดินแดนมหัศจรรย์แห่งนี้ กว่าจะถึงเล่นเอาเราหอบเลยทีเดียว เกือบจะถอดใจเหมือนกัน แต่อย่างที่ว่า สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นการได้สัมผัสจริงเป็นสิ่งที่เราควรจะทำมากกว่า ความฮึด ก็เกิดขึ้น!!!
      พอมาถึง เดอะเวฟมันเหมือนกับเราได้ย้อนกลับไปในยุคนั้นจริงๆ อึ่ง! ทึ่ง! มากๆ เดอะเวฟ ที่ถูกกัดกร่อนจากลม และ ฝน มานานนับร้อยล้านปี จนกลายมาเป็นภูมิทัศน์อันงดงามให้เราๆได้ชมกันสักครั้ง อยากให้มิกิได้มาเห็นกับตา
      เรียกว่าความเหนื่อยหายไปเป็นปลิดทิ้ง เพราะ เหล่าปฎิมากรรม ภูเขาทะเลทรายหลากหลายรูปทรง สีส้มหลายลวดลายงดงาม มองไม่ว่าจะมุมไหนก็สวย แปลก และมีความเป็นศิลปะ
      “เดอะเวฟเป็นดินแดน ที่มีมนต์ขลัง และมีเสน่ห์มาก เพราะอีกอย่างหนึ่งคนเที่ยวชม เปิดจำนวนจำกัดทำให้รู้สึกเหมือนกับเราหลุดเข้าไปสู่อีกยุคหนึ่ง ชวนให้นึกถึงหนังประวัติศาสตร์ ดึกดำบรรพ์ ที่อาจมีไดโนเสาร์โผล่มา ถ้าหากมิกิอยากลองย้อนไปยุคจูราสสิกแต่ยังหาคู่หูมาเที่ยวไม่ได้ แค่เอ่ยปากบอกมา Henrik พร้อมจะลุยทุกเมื่อเลย!!!