วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2555

อันตราย ! จากยาลดความอ้วน


    

ผลเสียจากความอ้วน คือหนทางนำไปสู่โรคร้ายนานาชนิด เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือโรคร้ายอย่างมะเร็ง เป็นต้น โดยเฉพาะคุณผู้หญิง ซึ่งนอกจากโรคร้ายที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ยังเกี่ยวเนื่องกับ ความสวยความงามอีกด้วย
         ดังนั้น เมื่อคนส่วนใหญ่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน จึงต้องการลดน้ำหนักส่วนเกินด้วยกันทั้งสิ้น ต่างแสวงหาวิธีการต่างๆ นานา ที่จะทำให้น้ำหนักส่วนเกินนั้นหายไป หรือหากเป็นไปได้ไ ม่ต้องทำอะไรมาก แค่กินยาอย่างเดียว เจ้าไขมันส่วนเกินก็หายไปในบัดดล หรือจะด้วยวิธีใดก็ตามที่ไม่ต้อเสียเหงื่อ ออกแรงมาก ก็สามารถกำจัดเจ้าไขมันเหล่านี้ออกไปจากร่างกายได้
         ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หลายคน มองข้ามอันตราย ที่จะเกิดกับสุขภาพของตนเองไป  การใช้ยาลดความอ้วนดูเหมือนจะเป็นวิธีที่นิยมมาก ในกลุ่มคนเจ้าเนื้อทั้งหลาย แต่ทราบหรือไม่ว่า ยาลดความอ้วนที่วางขายอยู่ตามท้องตลาดนั้น  ส่วนใหญ่เป็นตัวยาที่อยู่ในกลุ่มท ี่ช่วยลดความอยากอาหาร   หรือทำให้เบื่ออาหารเท่านั้น  ที่สำคัญยาในกลุ่มนี้  จะมีข้อเสียมากกว่าข้อดี   เพราะหลังจากที่คุณรับประทานยานี้แล้ว  จะทำให้นอนไม่หลับ ปากแห้ง  กระหายน้ำ  หงุดหงิด  คลื่นไส้  อาเจียน  เวียนศีรษะ  และเมื่อใช้ยาไประยะหนึ่งจะเกิดภาวะดื้อยา ทำให้ต้องเพิ่มขนาดของยามากขึ้น และอาจจะเป็นอันตรายต่อร่างกายได้  ดังนั้น การใช้ยาประเภทนี้ จึงต้องอยู่ภายใต้ความดูแลของแพทย์ อย่างใกล้ชิดเท่านั้น  และเมื่อคุณหยุดใช้ยาส่วนใหญ่ จะกลับมามีน้ำหนักเท่าเดิม หรือเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม
         ก่อนหน้ามียาคู่แฝดมหัสจรรย์ซึ่งเคยได้รับอนุญาติให้สามารถจำหน่ายได้ แต่ปัจจุบันถูกระงับใช้ ไปเรียบร้อยแล้ว นั่นคือ ยาเฟน-เฟน (Fen-Phen) ซึ่งหมายถึง เฟนฟลูรามีน (Fenfluramine) กับ เฟนเทอร์มีน (Phentermine) อันเป็นยายอดฮิตในการลดความอ้วน ความเสี่ยงของยาเฟนฟลูรามีนนี้ อาจทำให้ผู้รับประทานเกิดภาวะควมดันโลหิตสูงในหลอดเลือดส่งไปยังปอด ทำให้เลือดดำเปลี่ยนเป็น เลือดแดงที่ปอดไม่ได้ ร่างกายก็จะขาดออกซิเจน มีอาการหายใจลำบาก หายใจไม่เต็มอิ่ม เจ็บปวดที่หน้าอก เป็นลมง่าย บางครั้งเลือดไหลเวียนไม่ดีมีอาการบวมที่ขาด้วย และหากท่านใช้ เฟนฟลูรามีน ควบคู่กับ เฟนเทอร์มีน จะพบว่าทำให้ลิ้นหัวใจผิดปกติ ไม่สามารถปิดสนิท อันนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลวได้
         นอกจากตัวยาที่กล่าวแล้วข้างต้น  การใช้ยาระบาย  ยาขับปีสสาวะและสมุนไพรต่างๆ ซึ่งเป็นที่นิยมเช่นกัน แต่ผู้ใช้ก็ต้องระวัง เนื่องจากตัวยาเหล่านี้ มีคุณสมบัติเป็นยาถ่ายอย่างแรง มีผลให้ร่างกายขับถ่ายน้ำออกไปเท่านั้น โดยที่ ไม่ได้ละลายไขมันออกมาเลย และหากใช้ยาระบายติดต่อกันเป็นประจำ จะส่งผลให้ลำไส้บีบตัวเองไม่เป็น ในที่สุดก็เกิดภาวะท้องผูกเรื้อรัง นอกจากนี้ยังทำให้ร่างกายสูญเสียเกลือแร่บางอย่างมากเกินไป โดยเฉพาะโปแตสเซียม ซึ่งจำเป็นต่อการเต้นของหัวใจ เกิดความไม่สมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย อาจทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ หรืออาจจะหยุดเต้นได้
         ทางที่ดีที่สุดของการลดความอ้วนให้ปลอกดภัย  ควรเริ่มจากตัวคุณเอง  เริ่มฝึกตัวเองให้มีบริโภคนิสัยที่ดี  หลีกเลี่ยงอาหารที่มไขมันและให้พลังงานสูง บริโภคผักและผลไม้เป็นประจำ หมั่นออกกำลังกายและพักผ่อนให้เพียงพอ หากคุณปฎิบัติได้ตามนี้ คุณก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งยาขนานใด เพื่อลดน้ำหนักส่วนเกินเลยก็ได้ 

วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ความโรธ






10 วิธี ระงับความโกรธ

บ่อยครั้งที่เราอารมณ์เสีย

แล้วก็มักจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่น่ากลัวมากทั้งต่อบุคลิกภาพแล้วยังส่งผลเสียต่อสุขภาพอีกด้วย เรามาหาวิธีระงับความโกรธ กันดีกว่า

1.หลีกเลี่ยง
การหลีกเลี่ยงต่างจากการหลีกหนี ไม่ได้แปลว่าคุณขี้ขลาด หรือกลัวเลยซักนิดเดียว แต่หมายถึงการแสดง EQ ในตัวคุณต่างหาก ที่สามารถระงะบอารม โกรธได้เป็นอย่างดี

2.หาที่ปรึกษา
ต้องหาที่ปรึกษาที่ไว้ใจได้ ไม่งั้นเขาอาจเป็นงูพิษ แว้งกัด ได้

3.กินแก้โกรธ
การกินอาหารที่ตัวเอง ชอบ อาจทำให้เราลืมเรื่องที่เราโกรธได้

4.เย็นดับร้อน
หาเครื่องดื่ม เย็นๆสักแ้ก้ว เผื่อความหวาน ความเย็นจะช่วยให้หายโกรธได้

5.หัวเราะชนะโกรธ
ลองดูหน้าตัวเองเวลาโกรธ ในกระจกแล้วหัวเราะเยาะ มันจะทำให้เราลืมความโกรธได้

6.น้ำตาชนะทุกอย่าง
การร้องไห้เป็นการระบายความเครียด รวมทั้งเป็นการระบายความโกรธได้อีกด้วย ลองปล่อยน้ำตาไห้ไหลออกมาโดยไม่ต้องบังคับ แล้วมันช่วยให้เราสบายใจขึ้น

7.ร้องเพลงไง
การร้องเพลงช่วย ผ่อนคลายความเครียด ร้องหั้ยมันดังๆปลดปล่อยความเครียดให้มันออกออกจากร่ากายให้เต็มที่ แล้วความโกรธจะค่อยๆหลุด ตามเสียงที่เราตะโกน เอง

8.ลืมมันซะ
หากิจกรรมทำ เลิกคิดถึงเรื่องที่ทำให้คุณโกรธ ให้สมองได้พักผ่อนไปกับสิ่งที่คุณชอบ อย่าไปใส่ใจ กับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องเลย

9.นอนหลับซะเลย
เวลาคนเราโกรธ มักจะรู้สึกปวดหัว ถ้าได้พักผ่อนบ้าง ตื่นมาอาการคงดีขึ้น

10.รู้จักอภัย
การให้อภัยนอกจากจะเป็นการให้โอกาสคนอื่นแล้ว ยังทำให้เราสบายใจขึ้นอีกด้วย

วันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2555

บรูไน


บรูไนดารุสซาลาม


 


บรูไน (มาเลย์: Brunei) หรือ เนการาบรูไนดารุสซาลาม (มาเลย์: Negara Brunei Darussalam) เป็นประเทศที่ตั้งอยู่บนเกาะบอร์เนียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชายฝั่งทางด้านเหนือจรดทะเลจีนใต้พรมแดนทางบกที่เหลือจากนั้นถูกล้อมรอบด้วยรัฐซาราวัก ประเทศมาเลเซียบรูไนเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันเป็นสินค้าหลัก (ปริมาณการผลิตน้ำมันประมาณ 180,000 บาเรล/วัน) 


ประวัติ
บรูไนเป็นที่รู้จักและมีอำนาจมากในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14ถึง คริสต์ศตวรรษที่ 16 โดยมีอาณาเขตครอบครองส่วนใหญ่ของและส่วนหนึ่งของเกาะบอร์เนียว หมู่เกาะซูลู มีชื่อเสียงทางการค้า สิ้นค้าส่งออก ที่สำคัญในสมัยนั้น ได้แก่ การบูน พริกไทย และทองคำ หลังจากนั้นบรูไนเสียดินแดนและเสื่อมอำนาจลงเนื่องจากสเปน และ ฮอลันดาได้แผ่อำนาจเข้ามาจนถึงสมัย คริสต์ศตวรรษที่  19 ในปี พ.ศ 2431 (ค.ศ. 1888) ด้วยความวิตกว่าจะต้องเสียดินแดนต่อไปอีก บรูไนจึงได้ยินยอมเข้าอยู่ภายใต้อารักขาของอังกฤษ และต่อมาในปี พ.ส 2449(ค.ศ. 1906) บรูไนได้ลงนามในสนธิสัญญายินยอมอยู่เป็นรัฐในอารักขาของอังกฤษอย่างเต็มรูปแบบในปี พ.ศ. 2472 (ค.ศ. 1929) บรูไนสำรวจพบน้ำมันและแก๊สธรรมชาติที่เมืองเซรีอาร์ทำให้บรูไนมีฐานะมั่งคั่งในเวลาต่อมาในปี พ.ศ . 2505(ค.ศ. 1962) ได้มีการเลือกตั้ง ซึ่งพรรคประชาชนบอร์เนียว (Borneo People’s Party) ได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้น แต่ถูกกีดกันไม่ให้จัดตั้งรัฐบาล ต่อมาจึงได้ยึดอำนาจจากสุลต่านแต่สุลต่านทรงได้รับความช่วยเหลือจากกองทหารกุรข่าที่อังกฤษส่งมาจากสิงคโปร์ หลังจากนั้นได้มีประกาศภาวะฉุกเฉินและต่ออายุทุก ๆ 2 ปี เรื่อยมาจนถึงปัจจุบันหลังจากที่อยู่ภายใต้อารักขาของอังกฤษมาถึง 95 ปี บรูไนก็ได้รับเอกราชเมื่อวันที่ 1 มหราคม พ.ศ 2527 (ค.ศ. 1984)

ลักษณะเศรษฐกิจและทรัพยากร

บรูไนเป็นประเทศที่ร่ำรวยไปด้วยน้ำมันและก๊าชธรรมชาติซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำรายได้มาสู่ประเทศเป็นอันดับหนึ่ง แต่รัฐบาลบรูไนก็เริ่มตระหนักว่าประเทศชาติจะพึ่งพิงรายได้จากทรัพยากรทั้งสองอย่างเท่านี้ไม่ได้เสียแล้ว แต่ควรหันมาให้ความสนใจกับทรัพยากรธรรมชาติอี่น ๆ ที่ยังคงมีมากมายเช่น ป่าไม้ แร่ธาตุ สัตว์น้ำ และพื้นที่อันอุดมสมบรูณ์เหมาะแก่การเกษตร เพื่อเป็นการเร่งรัดการพัฒนารูปแบบของการลงทุน สุลตานบรูในได้ทรงตั้งกระทรวงขึ้นมาใหม่คือกระทรวงอุตสาหกรรมและทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อทำหน้าที่ดูแลวางแผนและดำเนินงานด้านอุตสาหกรรมและการลงทุนโดยเฉพาะ โครงการอุตสาหกรรมที่ได้รับการสนับสนุนและเร่งรัดส่งเสริมเป็นพิเศษ ได้แก่ อุตสาหกรรมขนาดเล็ก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่สัมพันธ์กับภาคเกษตร ป่าไม้ และการประมง การดำเนินการช่วงแรกนั้น รัฐบาลมุ่งสนับสนุนโรงงานและอุตสาหกรรมขนาดเล็กในภูมิภาคที่สามารถป้อนผลผลิตให้กับผู้บริโภคในท้องถิ่นก่อนเป็นอันดับแรกแล้วจึงขยายไปสู่การผลิตเพื่อการส่งออกในระยะยาว รัฐบาลได้ตั้ง่ความหวังว่าอุตสหกรรมเหล่านี้จะเป็นแหล่งที่เข้ามาแทนที่อุตสาหกรรมน้ำมันที่อาจหมดไปในอนาคต โดยที่ประชาชนยังมีหลักประกันว่าจะมีงานทำ บรูไนเป็นประเทศที่มั่งคั่งด้วยทรัพยากร ขณะนี้ยังมีประชากรน้อยมาก แต่บรูไนก็ไม่ได้หวังพึ่งพารายได้จากการขายน้ำมันเพียงอย่างเดียว ได้พยายามที่จะพัฒนาประเทศให้พึ่งพาตัวเองได้ อย่างไรก็ตามบรูไนเป็นประเทศที่มีค่าครองชีพสูงมากแห่งหนึ่งของโลก แต่รัฐบาลได้ให้สวัสดิการอย่างดีเลิศแก่ประชาชน อาทิ ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ส่วนบุคคล ค่ารักษาพยาบาลฟรี การศึกษา รัฐให้เปล่าจนถึงระดับชั้นมัธยมศึกษานอกจากนี้ยังมีสวัสดิการแก่ข้าราชการของรัฐ อุตสาหกรรมสำคัญของประเทศ คือ น้ำมัน ส่วนพืชเกษตรที่สำคัญ ได้แก่ ข้าว  กล้วย

ศาสนา

ส่วนใหญ่ชาวบรูไนนับศาสนา อิสลามนิกายสุหนี่67% รองลงมาเป็นศาสนาพุทธนิกายมหายาน13% ศาสนาคริสต์ 10% ศาสนาฮินดู ความเชื่อพื้นเมืองและอื่นๆตามมา



 


วันเสาร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2555

เดอะเวฟ” (The Wave)

                

     “เดอะเวฟ” (The Wave) อยู่ที่รัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา คือ ภูเขาหินทรายที่ฟอร์มตัวในลักษณะคล้ายคลื่นลาดชัน และคดเคี้ยว เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 190 ล้านปีก่อนหรือในยุคจูราสสิก เนื่องจากพื้นที่แถบนี้มีความเปราะบางมาก จะเรียกว่าเป็นสถานที่เที่ยวที่มีความแปลก และท้าท้ายให้ คนธรรมดาอย่างเราๆ อยากจะพิชิตให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต
      และรู้ไหม...ในการเข้าชมนั้น เขามีการจำกัดให้เข้าชมได้เพียงวันละไม่เกิน 20 คน และต้องเดินเท้าเข้าไปเกือบ 5 ก.ม. จึงจะถึงดินแดนมหัศจรรย์แห่งนี้ กว่าจะถึงเล่นเอาเราหอบเลยทีเดียว เกือบจะถอดใจเหมือนกัน แต่อย่างที่ว่า สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นการได้สัมผัสจริงเป็นสิ่งที่เราควรจะทำมากกว่า ความฮึด ก็เกิดขึ้น!!!
      พอมาถึง เดอะเวฟมันเหมือนกับเราได้ย้อนกลับไปในยุคนั้นจริงๆ อึ่ง! ทึ่ง! มากๆ เดอะเวฟ ที่ถูกกัดกร่อนจากลม และ ฝน มานานนับร้อยล้านปี จนกลายมาเป็นภูมิทัศน์อันงดงามให้เราๆได้ชมกันสักครั้ง อยากให้มิกิได้มาเห็นกับตา
      เรียกว่าความเหนื่อยหายไปเป็นปลิดทิ้ง เพราะ เหล่าปฎิมากรรม ภูเขาทะเลทรายหลากหลายรูปทรง สีส้มหลายลวดลายงดงาม มองไม่ว่าจะมุมไหนก็สวย แปลก และมีความเป็นศิลปะ
      “เดอะเวฟเป็นดินแดน ที่มีมนต์ขลัง และมีเสน่ห์มาก เพราะอีกอย่างหนึ่งคนเที่ยวชม เปิดจำนวนจำกัดทำให้รู้สึกเหมือนกับเราหลุดเข้าไปสู่อีกยุคหนึ่ง ชวนให้นึกถึงหนังประวัติศาสตร์ ดึกดำบรรพ์ ที่อาจมีไดโนเสาร์โผล่มา ถ้าหากมิกิอยากลองย้อนไปยุคจูราสสิกแต่ยังหาคู่หูมาเที่ยวไม่ได้ แค่เอ่ยปากบอกมา Henrik พร้อมจะลุยทุกเมื่อเลย!!!

วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2554



  คริสต์มาส !!



    ภาษาอังกฤษเขียนว่า Christmas ดังนั้นอย่าลืม "ต์" อยู่ที่คำว่า คริสต์ (Christ) ไม่ใช่คำว่า "มาส" (Mas) Christmas มาจากภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse แปลว่า บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า โดยพบคำนี้ครั้งแรกในเอกสารโบราณในปี ค.ศ.1038 ภายหลังแปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas ประวัติความเป็นมาของวันคริต์มาส ซึ่งเป็นวันเกิดของพระเยซูนั้น ตามหลักฐานในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซ่าร์ ออกัสตัส แห่งโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็ขานรับนโยบาย อย่างไรก็ตามในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร ด้านนักประวัติศาสตร์วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยเทพ โดยตั้งแต่ปีค.ศ.274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปีค.ศ.64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปีค.ศ.330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย สำหรับองค์ประกอบในงานฉลองวันคริสต์มาสมีความเป็นมาเช่นกัน เริ่มที่คำอวยพรว่า Merry Christmas สุขสันต์วันคริสต์มาส คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุขและความสงบทางใจ จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรคนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุข และความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศกาลคริสต์มาส ต่อมาคือ "เพลง" ที่ใช้เฉลิมฉลองทั้งจังหวะช้าและจังหวะสนุกสนาน ส่วนใหญ่แต่งในยุคพระราชินีวิกตอเรียแห่งอังกฤษ (ค.ศ.1840-1900) ปัจจุบันแพร่หลายไปทั่วโลกโดยแปลเป็นภาษาต่างๆ มากมาย สำหรับ "ซานตาคลอส" เซนต์นิโคลัสแห่งเมืองมีรา สมัยศตวรรษที่ 4 ได้รับการขนานนามให้เป็นซานตาคลอสคนแรก เพราะวันหนึ่งท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่งแล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี ปิดท้ายที่ต้นคริสต์มาส หรือต้นสนที่นำมาประดับประดาด้วยดวงไฟหลากสีสัน ต้องย้อนไปศตวรรษที่ 8 เมื่อเซนต์บอนิเฟส มิชชันนารีชาวอังกฤษที่เดินทางไปประกาศเรื่องพระเจ้าในเยอรมนี ได้ช่วยเด็กที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นเครื่องสังเวยบูชาที่ใต้ต้นโอ๊ก โดยเมื่อโค่นต้นโอ๊กทิ้งก็ได้พบต้นสนเล็กๆ ต้นหนึ่งขึ้นอยู่โคนต้นโอ๊ก ท่านจึงขุดให้คนที่ร่วมพิธีกรรมเหล่านั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิต และตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ ต่อมามาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน ตัดต้นสนไปตั้งในบ้านในเดือนธันวาคม ปีค.ศ.1540 หลังจากนั้นในศตวรรษที่ 19 ต้นคริสต์มาสจึงเริ่มแพร่ไปสู่ประเทศอังกฤษและทั่วโลก

คริสต์มาส คือการฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้า เราเฉลิมฉลองกันในวันที่ 25 ธันวาคม คำว่า คริสต์มาส เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ Christmas ซึ่งมาจากภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า เพราะการร่วมพิธีมิสซา เป็นประเพณี สำคัญที่สุด ที่ชาวคริสต์ถือปฎิบัติกันในวันคริสต์มาส คำว่า Christes Maesse พบครั้งแรกในเอกสาร โบราณ เป็นภาษาอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1038 และคำนี้ก็แปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas คำทักทายที่เราได้ฟังบ่อย ๆ ในเทศกาลนี้คือ Merry Christmas คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุขและความสงบทางใจ เพราะฉะนั้น คำนี้จึงเป็นคำที่ใช้อวยพร คนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุข และความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศกาลคริสต์มาส

วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

Vampire


แวมไพร์ (Vampire) ผีชนิดหนึ่งตามความเชื่อของชาวยุโรป ในยุคกลาง เชื่อว่าเป็นผีดิบ ที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนมนุษย์ทั่วไป แต่มีฟันแหลมคม ดื่มเลือดของมนุษย์ด้วยกันเป็นอาหารเพื่อหล่อเลี้ยง โดยที่แวมไพร์จะมีชีวิตเป็นอมตะ ไม่มีวันตาย จะปรากฏตัวได้แต่เฉพาะเวลากลางคืน เพราะแพ้เเสงแดดในตอนกลางวัน

แวมไพร์ที่จริงเป็นชื่อของค้างคาวชนิดหนึ่งที่มีอยู่มากในทวีปอเมริกาใต้ มันกัดกินเลือดจากสัตว์อื่นที่ใหญ่กว่ามันจนตายไปคาที่ คำว่าแวมไพร์ มาจากภาษาฮังกาเรียนว่า Vampire อีกต่อหนึ่งและดินแดนฮังการี่นี่เองที่มีตำนานผีดูดเลือดโด่งดังกว่าที่อื่นในโลกเป็นไปได้ว่าความเชื่อเรื่องของแวมไพร์ที่สามารถแปลงร่างเป็นค้างคาวได้ มีที่มาจากค้างคาวขนาดเล็กชนิดนี้

แวมไพร์จะหลบซ่อนอยู่ในโลงของตนหรือในหลุมในเวลากลางวัน สามารถแปลงร่างได้หลายแบบ เช่น ค้างคาว, นกฮูก, หมาป่า, กบ, คางคก, แมลงเม่า, งูพิษ เป็นต้น สามารถกำบังกายหายตัวได้ ไม่มีเงาเมื่อกระทบกับแสงหรือสะท้อนในกระจก มีแรงมากเหมือนผู้ชาย 20 คน

สิ่งที่จะกำราบแวมไพร์ได้คือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา เช่น ไม้กางเขน, น้ำมนตร์ หรือแม้กระทั่งสมุนไพรกลิ่นแรงบางชนิด เช่น กระเทียม วิธีฆ่าแวมไพร์มีมากมาย เช่น ตอกลิ่มให้ทะลุหัวใจ เผา หรือ ตัดหัวด้วยจอบของสัปเหร่อ บุคคลที่ตกเป็นเหยื่อของมัน จะกลายเป็นแวมไพร์ไปด้วย และกลายเป็นสาวกของแวมไพร์ตนที่ดูดเลือดตัวเอง

ชาวยุโรปในยุคกลางนั้น หวาดกลัวแวมไพร์มาก ผู้ที่สงสัยว่าเป็นแวมไพร์ จะตกอยู่ในสถานะเดียวกับแม่มด หรือ มนุษย์หมาป่า คือ ถูกตัดสินลงโทษด้วยการเอาถึงชีวิต มีวิธีการป้องกันการรุกรานของแวมไพร์หลายวิธี

บางหมู่บ้านจะโปรยเมล็ดข้าวไว้บนหลังคาบ้าน เพราะเชื่อว่าแวมไพร์จะง่วนกับการนับเมล็ดข้าวเป็นการถ่วงเวลาจนรุ่งเช้า หรือ โรยเศษขนมปังไว้ตั้งแต่สุสานให้แวมไพร์เดินเก็บเศษขนมนั้นวนเวียนไปมา หรือแม้แต่การวางไม้กางเขนหรือดอกกุหลาบที่มีหนามแหลมเพื่อเป็นการพันธนาการไว้ในโลง

เรื่องราวของผีแวมไพร์ มีมากมาย ที่เป็นนิทานพื้นบ้านและวรรณกรรม โดยวรรณกรรมที่ว่าถึงแวมไพร์ที่เก่าแก่ที่สุด มีมาตั้งแต่สมัยโรมัน วรรณกรรมที่มีชื่อเสียงที่สุดของแวมไพร์คือ เรื่องเคาน์แดร็กคูล่าร์ ของ บราม สโตกเกอร์ ที่โด่งดังจนมีการนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ ละคร ละครเวที หรือแม้แต่กระทั่งภาพยนตร์การ์ตูนมากมายตราบจนปัจจุบัน เช่นภาพยนตร์เรื่อง Nosferatu ในปี ค.ศ. 1922 เป็นต้น

คนไทยเรารู้จักผีดูดเลือดเมื่อหนังสือเรื่อง "แดร็กคูล่า" เกิดขึ้น โดยจำลองมาจากชีวิตของแดร็กคูล่า ซึ่งถึงจะมีตัวตนอยู่จริงๆ แต่ก็ไม่ใช่ผีดูดเลือดที่แท้จริงหากเป็นคนดุร้ายกระหายเลือดเหมือนผีดิบเท่านั้น

ผีดูดเลือดที่แท้จริงเป็นประเภทที่ฝรั่งเรียกว่า "TheUndead" หมายถึงคนที่ตายไปแล้วแต่ยังเคลื่อนไหวและล่าเหยื่อได้เหมือนคนเป็นๆ และการเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยความดุร้าย น่าสะพรึงกลัว มักมีเขี้ยวแหลมยาว กัดคอเหยื่อได้แล้วไม่ยอมปล่อย จะดูดเลือดจนอิ่ม หรือจนกระทั่งเหยื่อตายคาเขี้ยวไปเลยทีเดียวถ้าจะขุดค้นไปถึงต้นตอผีดูดเลือดจริงแล้วจะพบว่าตำนานผีดูดเลือดนั้นมีมาตั้งแต่สมัยกรีกและโรมัน

ในตำนานกรีก มีสัตว์ร้ายชนิดหนึ่งชื่อ ลาเมียเอ (Lamia) เป็นสตรีรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวมักเที่ยวดูดเลือดเด็กเล็กๆ จนตาย และยังชีพด้วยเลือดสดๆ เช่นนั้นตลอดมา โรมันซึ่งรับอารยธรรมจากกรีก ก็มี "ลาเมีย" ของตนเหมือนกัน เมื่อโรมันแพร่อิทธิพลให้กับชาติอื่นๆ ต่างก็รับเอาตำนานผีดูดเลือด ลาเมียเอ นี้ไปโดยทั่วหน้า

ในที่สุดก็ลงความเห็นน่าจะเกิดจากสมัยดึกดำบรรพ์ที่คนเราเพิ่งเริ่มพัฒนาขึ้นมาจากสัตว์นั่นเอง คนสมัยนั้นนิยมกินเนื้อคนด้วยกัน อย่างที่ฝรั่งเรียกว่า "แคนนิบาลิสม์" Cannibalismถึงแม้ว่ากาลเวลาจะผ่านเลยไปแต่สัญชาติญาณดึกดำบรรพ์ที่ป่าเถื่อนนั้นยังคงติดแน่นอยู่ในสันดานของคนบางคนอย่างถอนไม่ออกสัญชาติญาณป่าเถื่อนนี้จึงแสดงออกมาในรูปของความโหดร้ายทารุณ ฆ่ากันแล้วดื่มเลือดกัน เป็นต้น

เคาน์แดร็กคูล่าตัวจริง หรือผู้เป็นต้นแบบของตำนานผีดูดเลือด มีถิ่นฐานบ้านเกิดในดินแดนทรานส์ซิลวาเนียใกล้เคียงกับฮังการี - โรมาเนีย เหตุใดจึงเกิดตำนานเกี่ยวกับผีดูดเลือดแวมไพร์ขึ้นในโลก

   ***ส่วนทางด้านตำนานที่เป็นผู้หญิงที่โหดที่สุดมนประวัติศาสตร์ก็คือ เคาท์เตส อลิซาเบธ บาโธรี่ เป็นหญิงสาวที่มีความเชื่อในเรื่องชีวิตที่เป็นอมตะ และต้องการคงร่างของตนเองให้คงดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ จึงมีความคิดที่ว่า หากได้อาบเลือดของหญิงสาวบริสุทธิ์แล้ว จะทำให้ตนเองดูอ่อนเยาว์ได้ตลอดไป เธอจึงสั่งให้คนรับใช้ไปเอาร่างของหญิงสาวบริสุทธิ์ มากรีดเอาเลือดใส่อ่างด้วยเครื่อง ไอรอน เมเดน (Iron maiden) แล้วอาต่างน้ำเหยื่อที่ต้องสังเวยชีวิตให้กับเธอไปไม่น้อยกว่า 600 คน

กว่าที่เธอจะถูกคนจับไปขังในคุกมืดจนตาย เธอได้รับสมญานามว่า The Blood Countess และ Countess Dracula เธอเกิดเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ค.ศ. 1560 ในเมือง Nyírbátor ประเทศฮังการี เป็นคนในตระกูล บาโธรี่ ซึ่งมีความเกี่ยวดองกับกษัตริย์ฮังการีในสมัยนั้น อลิซาเบธ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ. 1614 (อายุ 54 ปี) ในเมือง Cachtice ประเทศสโลวาเกีย

นอกจากตำนานเหล่านี้ในนวนิยายและภาพยนตร์นั้นแวมไพร์ไม่เคยเสื่อมความนิยมลงไปแม้แต่น้อย ดูได้จากบทประพันธ์หรือหนังที่มีเรื่องผีดูดเลือดมาให้เราได้สัมผัสกันแทบทุกปี

วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เทพีเสรีภาพ



มรดกโลก
เทพีเสรีภาพ (Statue of Liberty)    
อยู่ในนครนิวยอร์กของประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นอนุสาวรีย์ที่ยิ่งใหญ่ และมีคุณค่าทางจิตใจ ตั้งอยู่ ณ เกาะเบคโล ปากอ่าวแมนฮัตตัน นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เป็นของขวัญที่ชาวฝรั่งเศสมอบเอาไว้เป็นของขวัญ แก่ชาวอเมริกัน ในวันที่อเมริกาเฉลิมฉลองวันชาติครบ 100 ปี ณ วันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2419 โดยส่งมอบอย่างเป็นทางการ โดยมี ประธานาธิบดีโกรเวอร์ คลีฟแลนด์ ในวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2429 เทพีเสรีภาพเป็นอนุสาวรีย์ที่เป็นสัญลักษณ์ "เสรีภาพ" ของคนอเมริกันเป็นรูปสตรียืนสูงเด่นอยู่บนแท่นทรงสี่เหลี่ยมสูงที่ตั้งอยู่บนฐานกว้าง 3 ชั้นรองรับกลมกลืนอย่างดี ลดหลั่นกันลงไปอยู่เบื้องล่าง ตัวเทพีสูง 152 ฟุต แขนแต่ละข้างยาว 42 ฟุต นิ้วชี้ยาว 8 ฟุต เล็บนิ้วยาว 10-13 นิ้ว ยืนอยู่บนฐาน

สาเหตุที่ทำให้ชาวฝรั่งเศสมอบเทพีเสรีภาพให้แก่สหรัฐอเมริกา เพราะว่า พวกเขาชื่นชมชาวอเมริกันที่หาญกล้าหาญ ที่ลุกขึ้นสู้กับสหราชอาณาจักร และประกาศอิสรภาพ จากสหราชอาณาจักรสำเร็จ เป็นชาติเอกราชในที่สุด ชาวฝรั่งเศส จึงรณรงค์หาเงินบริจาคจากทั่วประเทศ

สี่เหลี่ยมสูง 150 ฟุต ส่วนที่เป็นลำตัวทำด้วยทองแดงสีเขียวเทอร์คอยส์ ห่มผ้าครุยกรอมเท้า ที่ศรีษะสวมมงกุฏเป็นรัศมีเจ็ดแฉก มือขวาถือโคมไฟชูสูงขึ้นสุดแขน มือซ้ายประคองหนังสือที่ปกเขียนว่า "4 กรกฏาคม 1776" อันเป็นวันประกาศอิสรภาพของอเมริกา ไม่ขึ้นต่ออังกฤษอีกต่อไปและถือเป็นวันชาติอเมริกันมาจนทุกวันนี้ เทพีเสรีภาพนี้ตั้งอยู่บนเกาะเล็ก ๆ ขนาดเนื้อทราว ๆ 30 ไร่ ทำทางเดินขนาดใหญ่เข้าสู่ทางด้านหลังของอนุสาวรีย์ แล้วมีทางเดินรอบเลาะริมน้ำให้ชมได้ทุกมุมนักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมได้ถึงมงกุฏ หรือ ขึ้นถึงแค่ฐานสี่เหลี่ยมต่ำกว่าเท้าขององค์อนุสาวรีย์