วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

โมเสส

โมเสส


     คือผู้นำศาสนาของชนชาติยิวก่อนที่จะมีพระคัมภีร์ภาษาฮีบรู โมเสสเป็นทั้งผู้บัญญัติกฎ ผู้พยากรณ์ นักประวัติศาสตร์ และยังเป็นผู้ถ่ายทอดคัมภีร์โตราห์หรือหนังสือห้าเล่มในพระคริสตธรรมคัมภีร์ฉบับพันธสัญญาเดิม อีกทั้งยังเป็นผู้พยากรณ์คนสำคัญของอิสลามและศาสนาบาฮาอี

     โมเสส ในพระคริตสธรรมคัมภีร์

    อัตชีวประวัติของท่านที่ได้บันทึกไว้ในพระธรรมเบญจบรรณ (พระคัมภีร์ห้าเล่มแรก ที่เชื่อกันว่า โมเสสเป็นผู้เรียบเรียงขึ้น)
ต้นตระกูลโมเสส


             พระคริสตธรรมคัมภีร์กล่าวไว้ว่า โมเสสเกิดในตระกูลเลวี บิดาชื่อ อับราม มารดาชือ โยเคเบด มีพี่ชาย คือ อาโรน[1] ก่อนหน้าโมเสสเกิด ฟาโรห์แห่งอียิปต์ เห็นว่าชาวยิวมีจำนวนมากและแข็งแกร่ง จึงต้องการลดปริมาณชาวยิวลง โดยมีคำสั่งให้อิสราเอลนำเด็กเกิดใหม่ที่เป็นเพศชาย ทิ้งลงแม่น้ำไนล์ แต่มารดาของโมเสสได้ซ่อนโมเสสไว้ จนกระทั่งถึงวัยที่ไม่สามารถจะหลบซ่อนได้อีก มารดาจึงนำโมเสสใส่ตะกร้าวางไว้ในกอไม้ริมฝั่งแม่น้ำไนล์ เมื่อธิดาฟาโรห์ลงมาสรงนำ จึงเจอทารกน้อยโมเสส จึงนำไปเลี้ยงดู ชื่อของโมเสส แปลว่า "ฉุดขึ้นมาจากน้ำ" โมเสสได้โตขึ้นมาโดยมีมารดาเป็นแม่นมของตนเอง

     โมเสสฆ่าคนอียิปต์


แม้โมเสสจะโตขึ้น โดยการเลี้ยงดูของธิดาฟาโรห์ แต่ยังคงเป็นคนรักในความเป็นอิสราเอล และพบเห็นว่าคนอิสราเอลต้องตรากตรำทำงานหนัก วันหนึ่งขณะโมเสสไปอยู่ท่ามกลางชาวอิสราเอล พบชาวอียิปต์กำลังตีคนอิสราเอล เมื่อมองดูว่าไม่มีใคร โมเสสจึงฆ่าชาวอียิปต์คนนั้น และฝังซ่อนไว้ในทราย

วันรุ่งขึ้น ขณะโมเสสกำลังเดินอยู่ พบชาวอิสราเอลกำลังทะเลาะกัน จึงเข้าไปเตือน แต่กลับถูกย้อนว่า "ใครตั้งท่านให้เป็นเจ้านาย และเป็นตุลาการปกครองข้าพเจ้า ท่านตั้งใจจะฆ่าข้าพเจ้า เหมือนกับที่ได้ฆ่าคนอียิปต์คนนั้นหรือ"

เมื่อโมเสสได้ยินดังนั้น ก็ตกใจ และทราบว่าเรื่องนี้ลือกันไปทั่วแล้ว จึงหลบหนีออกไปอยู่ที่เมืองมีเดียน โดยอาศัยอยู่กับเยโธร ปุโรหิตของเมืองนั้น

     ทรงเรียกโมเสส



       ภายหลังจากฟาโรห์สิ้นพระชนม์ ชาวอิสราเอลก็คร่ำครวญกับพระเจ้า พระองค์จึงทรงระลึกถึงชนชาวอิสราเอล พระองค์จึงทรงไปปรากฏต่อหน้าโมเสส เพื่อเป็นผู้นำอิสราเอลให้ออกจากอียิปต์ ไปยังดินแดนคานาอัน อันเป็นดินแดนที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้กับอับราฮัมว่าจะยกให้แก่พงศ์พันธุ์ของท่าน


เมื่อพระเจ้าทรงเรียกโมเสสนั้น ทรงกระทำหมายสำคัญ 3 ประการเพื่อให้โมเสสตอบรับหน้าที่นี้ หมายสำคัญทั้งสามประการได้แก่

พระเจ้าทรงให้โมเสส โยนไม้เท้าลงบนพื้น และไม้เท้านั้นก็กลายเป็นงู และเมื่อโมเสสจับหางงู งูนั้นก็กลายเป็นไม้เท้าดังเดิม

พระเจ้าทรงให้โมเสส สอดมือไว้ที่อก เมื่อชักมือออกมา มือนั้นก็กลายเป็นเรื้อน และเมื่อสอดมือไว้ที่อกอีกครั้ง มือนั้นก็เป็นปกติ พระเจ้าทรงให้โมเสสตักน้ำมา และเทลงบนพื้น น้ำนั้นก็กลายเป็นเลือดบนดินนั้น แต่ถึงกระนั้น โมเสส ก็ยังคงมีข้อต่อรองกับพระเจ้า ด้วยโมเสสบอกว่าตนเองพูดไม่เก่ง เกรงว่าชาวอิสราเอลจะไม่ยอมฟัง พระเจ้า จึงให้อาโรน พี่ชายของโมเสส ซึ่งเป็นคนพูดเก่ง เป็นผู้ช่วยของเขา
ดังนั้นโมเสสจึงได้ลาพ่อตา และเดินทางกลับไปยังอียิปต์ และพบกับอาโรนเพื่อทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าให้สำเร็จต่อไป เมื่อโมเสสได้ไปเข้าเฝ้าฟาโรห์ที่อียิปต์ครั้งนี้ โมเสสมีอายุ 80 ปี และอาโรนมีอายุ 83 ปี

     เหตุการณ์สำคัญ

เมื่อโมเสสเข้าเฝ้าฟาโรห์ในครั้งนั้น โมเสสทูลขอให้ฟาโรห์ปล่อยอิสราเอลให้ไปนมัสการพระเจ้าในถิ่นทุรกันดาร (ทะเลทราย) ฟาโรห์ทรงมีพระทัยแข็งกระด้าง และไม่ยินยอมให้อิสราเอลไป ในครั้งนั้น โมเสส และ อาโรน จึงได้รับบัญชาจากพระเจ้าในการทำให้เกิดภัยพิบัติแก่อียิปต์ ถึง 10 ประการ จนในที่สุด ฟาโรห์ และเหล่าข้าราชบริพารจึงพากันขับไล่อิสราเอลออกไปจากอียิปต์

ก่อนภัยพิบัติครั้งสุดท้าย พระเจ้าทรงให้โมเสสนำอิสราเอลประกอบพิธีปัสกาขึ้น เพื่อเป็นสัญลักษณ์ความเป็นอิสราเอลไว้ เพื่อในคืนนั้นพระเจ้าจะผ่านเลยบ้านที่มีเลือดแกะปัสกาป้ายอยู่ แต่บ้านชาวอียิปต์พระเจ้าจะทรงนำเอาบุตรหัวปีของพวกเขาไป พิธีปัสกา จึงเป็นพิธีที่อิสราเอลเฉลิมฉลองถึงเหตุการณ์ความเป็นไท ในครั้งนี้

เมื่อเดินทางมาริมทะเลแดง กองทัพอียิปต์ก็ติดตามอิสราเอลมา เพื่อตามอิสราเอลกลับไปเป็นทาสดังเดิม ครั้งนี้ พระเจ้าทรงให้โมเสสชูไม้เท้าขึ้นเหนือน้ำ ทำให้ทะเลแดงแหวกออก เป็นทางเดินให้อิสราเอลเดินข้ามไป แต่เมื่อกองทัพอียิปต์จะข้ามตาม ทะเลก็กลับคืนดังเดิม และท่วมกองทัพอียิปต์ตายไปเสียสิ้น

เมื่อเดินทางถึงภูเขาซีนาย พระเจ้าทรงเรียกโมเสส ขึ้นไปเข้าเฝ้าพระพักตร์พระองค์ แบบหน้าต่อหน้า และที่ภูเขาซีนายนี่เอง ที่พระเจ้าทรงประทานบัญญัติ 10 ประการมาให้อิสราเอล และประทานกฎหมายข้อบังคับต่าง ๆ ให้แก่พวกเขา

เมื่อออกเดินทางจากภูเขาซีนาย ก็เข้าสู่เขตแดนคานาอัน ในครั้งนั้น โมเสสส่งผู้สอดแนม จากบรรดาหัวหน้าในคนอิสราเอล จำนวน 12 คน (ตามเผ่าของอิสราเอล) ไปดูลาดเลาในคานาอัน ในจำนวนนั้น ยกเว้น โยชูวา และ คาเล็บ ต่างพากันให้ร้ายแก่แผ่นดินคานาอันนั้น เป็นเหตุให้คนอิสราเอลทั้งหลายไม่ยอมเดินทางเข้าแผ่นดินคานาอันตามที่พระเจ้าทรงบัญชา เหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้อิสราเอลต้องใช้ชีวิตอยู่ในทะเลทราย เป็นเวลา 40 ปี นับตามจำนวนวันที่ผู้สอดแนมเดินทางไปดูลาดเลาแผ่นดินนั้น และบรรดาอิสราเอลที่มีอายุเกิน 20 ปีในวันนั้น ยกเว้น โยชูวา และ คาเล็บ ล้วนไม่มีใครได้เข้าไปในแผ่นดินคานาอันเลย

ขณะเมื่ออยู่ในทะเลทราย ช่วง 40 ปีอันโหดร้ายนั้น ครั้งหนึ่งเกิดการกันดารน้ำ ชาวอิสราเอลจึงมาต้ดพ้อโมเสส ในครั้งนี้พระเจ้าตรัสสั่งให้โมเสส ออกไป "บอก" ก้อนหินให้หลั่งน้ำ เพื่อได้มีน้ำใช้ แต่ครั้งนั้นอิสราเอลทำให้โมเสส และอาโรนโกรธอย่างมาก จึงใช้ไม้เท้า ตี หินสองครั้ง น้ำจึงไหลออกมา เหตุการครั้งนั้น พระเจ้านับว่าทั้งสองไม่เชื่อฟังพระองค์ อาโรนและโมเสสจึงไม่ได้สิทธิในการเข้าไปในแผ่นดินคานาอัน

     ชีวิตครอบครัว

   เมื่อโมเสสไปอาศัยอยู่กับ เรอูเอล ปุโรหิตแห่งเมืองมีเดียนนั้น เยโธร ได้ยก ศิปโปราห์ บุตรสาวของตนให้โมเสส และมีบุตร ชื่อ เกอร์โชม

     บั้นปลายชีวิต

   โมเสสใช้เวลาปกครองอิสราเอล และนำอิสราเอลเดินทางผ่านทะเลทราย เป็นเวลา 40 ปี เมื่อท่านอายุได้ 120 ปี ก็สิ้นชีวิต โดยมิได้เข้าไปในแผ่นดินคานาอัน แผ่นดินแห่งพันธสัญญาของพระเจ้า เพราะการไม่เชื่อฟังพระเจ้าเพียงครั้งเดียว[8] ตามบันทึกพระคัมภีร์กล่าวว่า ศพของโมเสส ถูกฝังไว้ในเขตแดนก่อนเข้าแผ่นดินคานาอันนั่นเอง







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น